
ถ้าถามคุณผู้อ่านที่อยู่ในวัยทำงาน ตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปว่า “คุณซื้อนิตยสารเล่มสุดท้ายเมื่อไร” ยังพอจะนึกกันออกอยู่ไหม เชื่อว่าหลายคนอาจจะส่ายหัวแล้วบอกว่า “ปกติก็ไม่ค่อยได้ซื้ออยู่แล้วเพราะฟอลโลว์อินสตราแกรมดาราที่ชื่นชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากอ่านข่าวก็อ่านตามฟีดในหน้าเฟซก็ได้”
เป็นคำตอบที่แสดงให้เห็นว่า เราได้อยู่ในยุค “ดิจิตอล” กันโดยสมบูรณ์แล้ว และยิ่งตอกย้ำว่า สื่อออนไลน์กำลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคม ก็ด้วยข่าวการปิดตัวของนิตยสารหลายฉบับตลอดปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนธันวาคมที่ปิดตัวไล่กันถึงสามฉบับ ตั้งแต่ขวัญเรือน ดิฉัน และ มาถึงคู่สร้างคู่สม ซึ่งฉบับหลังสุดนี้ ครั้งหนึ่งเป็นที่รู้กันในวงการสิ่งพิมพ์ว่าเป็นนิตยสารที่มียอดจำหน่ายและยอดโฆษณาสูงที่สุดในเมืองไทย ชนิดที่ใครจะลงโฆษณาในคู่สร้างคู่สม ต้องจองพื้นที่แอดฯ กันข้ามปี
ความเปลี่ยนแปลงในวันนี้ทำให้หลายคนตื่นมาแล้วพบว่าโลกหมุนไปเร็วจนวิ่งตามกันไม่ทัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สื่อสิ่งพิมพ์ยังไม่ตาย และ ไม่ถึงกับตาย เพียงแต่ในวันนี้เป็นการเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน ที่ทุกคนต้องปรับตัว เพราะรูปแบบการคิดและผลิต เนื้อหานั้นยังคงมาจากมันสมองของมนุษย์ที่ได้ชื่อว่ากองบรรณาธิการเหมือนเดิม เพียงแต่จะอยู่ให้รอดอย่างไร ในยุคที่คนนิยมเสพเนื้อหาจากหน้าจอโทรศัพท์
หมดยุคเรื่องบันเทิง ข่าวคาวเซเลบริตี้
เคยมีคำพูดปรามาสคนทำนิตยสารเอาไว้ว่า ข่าวบันเทิงทั้งหลาย ภาพแฟชั่น ทั้งมวลนั้นเริ่มตกยุคตั้งแต่ผู้คนรู้จักคำว่า อินเทอร์เนต และ เวิลด์ไวด์เว็บ กันแล้ว เพราะสื่อออนไลน์ได้พัฒนาตนเองจาก เว็บบอรด กลายมาเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่แชร์ได้ทั้งภาพและเสียง บรรดาเซเลบริตี้ ดารา นักร้องตั้งแต่ระดับ ซี ไปจนถึง เอลิสต์ ล้วนแล้วแต่มีเฟซบุ๊ค อินสตราแกรม หรือ ทวิตเตอร์ เป็นของตนเอง ขณะที่นักข่าวบันเทิงยุคใหม่ ก็ไม่ได้พัฒนาไปจากเดิม หาข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์ของดารา นักแสดง เซเลบริตี้ อีกต่อ ก็เลยกลายเป็นเรื่องของ งูกินหาง เพราะวิธีการแบบนี้ทำให้ใครๆก็คิดว่าตนเองเป็นนักข่าวได้ ตนเองสามารถเป็นคนแรกที่เห็นก่อนได้
ยอดนิตยสารบันเทิงตก แต่นิตยสารแนววิเคราะห์กลับพุ่งสวนทาง
ในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมามีผลสำรวจจาก เอบีซี จากการเผยแพร่ของบีบีซีนั้นพบว่ายังมียอดขายของนิตยสารบางประเภทที่ยังคงมียอดขายที่ยังคงอยู่ได้ นั่นคือยอดขายนิตยสารประเภทข่าว และ เหตุการณ์สังคม ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในขณะที่นิตยสารประเภทกอซซิป หรือ นิตยสารบันเทิง มีเซเลบริตี้ ขึ้นปกบ่อยๆ หรือ นิตยสารแฟชั่น นั้นยอดยังคงดิ่งอย่างน่าใจหาย
โดยมีการนำเอายอดขายของนิตยสารที่เป็นเรื่องบันเทิง กอซซิบ และ แฟชั่น มาเปิดโผพบว่า นิตยสารสตาร์ ยอดขายตกลง 14.3 เปอร์เซ็นต์, วานิตี้ แฟร์ ยอดขายตกลง 10 เปอร์เซนต์, แมรี แคลร์ ยอดขายตกลง 6 เปอร์เซน์, นิตยสาร โอเค ยอดขายตกลง 3.5 เปอร์เซนต์ ขณะที่เบอร์ใหญ่อย่าง นิตยสารโว้ค ตกลง 3 เปอร์เซนต์ แต่สำหรับยอดที่พุ่งขึ้นกลับเป็นนิตยสารเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าว และ การเมืองอย่าง เดอะ สเปคเตเตอร์ยอดเพิ่มขึ้น 11.3 เปอร์เซนต์ หรือ ดิ อิโคโนมิสต์ ยอดเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์
ทางรอดของสื่อสิ่งพิมพ์คือคนผลิตเนื้อหา
การผลิตเนื้อหาในสื่อนั้น ไม่เหมือนกับการผลิตสินค้าที่มีสูตรสำเร็จตายตัว หากแต่เป็นการผลิตที่เกิดจากความคิด ความปรารถนา และ รสนิยมของคนผลิตที่เรียกว่ากองบรรณาธิการ แม้ว่าในวันนี้ผู้คนจะเดินห่างจากแผงหนังสือไปเรื่อยๆ หากแต่สื่อสิ่งพิมพ์จะยังคงอยู่ต่อไป แต่อยู่ในสถานะใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น
มีการวิเคราะห์กันว่า เนื้อหาที่อยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทนิตยสารเพื่อความบันเทิง ครอบครัว หรือ แม้แต่การปรุงอาหาร จะหมดไปจากแผงหนังสือ และเข้าไปอยู่ในสื่อออนไลน์ แต่จะมีการผลิต เป็นหนังสือประเภท Year Book ออกมาเพื่อรวบรวมเรื่องราว และ สิ่งที่ผู้อ่านประทับใจเอาไว้ พร้อมกับรูปเล่มที่สวยงาม และทำให้หนังสือเหล่านั้นกลายเป็นของสะสม เพราะจุดแข็งของหนังสือคือ “จินตนาการที่จับต้องได้โดยไม่ต้องใช้สัญญาณ Wifi” ซึ่งแน่นอนว่า การผลิตออกมาแต่ละเล่มนั้นจะต้องมีการแยกย่อยตามความสนใจของคนอ่านมากกว่าในปัจจุบัน
ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ที่ยังคงอยู่ต่อไป ชนิดที่หลายคนเองไม่อยากเชื่อ คือหนังสือพิมพ์ และ นิตยสารที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเมื่อถึงเวลาที่คนต้องการข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นข่าวสารที่ส่งผลต่อสังคมและตนเอง พวกเขาต้องการนักข่าวตัวจริง และ ข่าวที่มีข้อมูลแท้จริง ไม่ใช่ข่าวซุบซิบทางสื่อออนไลน์ และนั่นคือช่องว่างที่สื่อออนไลน์ยังทำไม่ได้ และยังคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะทำได้
การกำเนิดของสื่อหนึ่งไม่จำเป็นต้องฆ่าอีกสื่อหนึ่ง
สื่อออนไลน์ นั้นได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็ว สื่อโทรทัศน์ถือว่าเป็นสื่อร้อนที่เข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก ขณะที่สื่อหนังสือพิมพ์และนิตยสารนั้น คือการขายจิตนาการ ความคิด และ รสนิยมผ่านภาพและตัวอักษร เมื่อมีสื่อใหม่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นที่ต้องฆ่าอีกหนึ่งสื่อ หากแต่ใช้ข้อดีของแต่ละสื่อ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการนำเสนอข่าว
ในสำนักข่าวหนึ่งอาจจะมีทั้งสื่อออนไลน์ สื่อโทรทัศน์ และ หนังสือ Year Book รวมอยู่ด้วยกันก็ได้ ด้วยการใช้สื่อออนไลน์ ในการเกาะกับกระแสของสังคม ก่อนที่จะนำเอาเนื้อหาที่ตกผลึกแล้วมาผลิตเป็นรายการโทรทัศน์ในเชิง สืบสวนสอบสวน และ ปิดท้ายด้วยการรวบรวมเอาเบื้องหลัง และเนื้อหาโดยละเอียดมาผลิตออกมาเป็นหนังสือสำหรับคนที่ต้องการสะสมหรือรวบรวมเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่ต้องไปค้นหาจากมหาสมุทรข้อมูลอย่างอินเทอร์เนต
นั่นเป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างขึ้นมา สำหรับการปรับตัวของกองบรรณาธิการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยเพียงแค่ทำบนพื้นฐานการนำเสนอเนื้อหาที่อยู่บนรูปแบบที่ต้องปรับเปลี่ยนตนเอง เพราะเราต้องไม่ลืมว่า “ความเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์”