ออกกำลังกายที่ฟิตเนส “ดีกว่า” อย่างไร

เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวแว่ว ๆ ที่พูดถึงโครงการ “ฟิตเนสคนละครึ่ง” หลุดออกมา ซึ่งถ้าหากลองไปหาอ่านข้อมูลที่ชัดเจน จะพบว่าโครงการดังกล่าวยังไม่ใช่โครงการที่จะเกิดขึ้นจริง และยังไม่มีการเคาะจากผู้มีอำนาจ เพียงแต่เป็นโครงการที่ทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นผู้เสนอขึ้น ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะ ว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) 1/2568 เพื่อเป็นไอเดียเสนอต่อรัฐบาล หลังจากที่โครงการ “คนละครึ่ง” อาจถูกนำกลับมาเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าจะนำกลยุทธ์ที่ช่วยกระตุ้นให้คนเพิ่มการออกกำลังกาย เข้าร่วมได้ด้วยหรือไม่

ด้วยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เห็นว่า การจะลดการเกิดโรค NCDs ในคนไทย จะต้องมุ่งความสำคัญในสองเรื่อง ได้แก่ การลดน้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกาย เรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งสองระดับ คือในระดับนโยบายส่วนกลาง ที่ต้องแสวงหามาตรการหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง กับอีกส่วนคือการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน ที่จะนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของแต่ละแห่ง และถ้าหากมีนโยบาย “ฟิตเนสคนละครึ่ง” เข้ามากระตุ้น อาจเป็นแรงจูงใจให้คนไทยหันมาออกกำลังกายและลดน้ำหนักกันมากขึ้นได้

แม้หลายคนอาจจะมองว่าการออกกำลังกาย ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าสมาชิกแพง ๆ ไปออกที่ฟิตเนสก็ได้ เพราะหลายคนก็ออกกำลังที่บ้าน หรือออกไปวิ่งหน้าบ้าน ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าอยากออกกำลังกายจริง ๆ อยู่ที่ไหนก็ออกได้ และถ้าคนที่จะไม่ออก ต่อให้จ่ายค่าสมาชิกฟิตเนสไปแล้วแพง ๆ ก็ไม่ออกอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้น โครงการที่ว่านี้ก็ได้รับเสียงตอบรับในทางบวกไม่น้อย เนื่องจากมันดีต่อคนที่เข้าใช้บริการที่ฟิตเนสเป็นประจำ และบางส่วนก็มองว่าสามารถกระตุ้นให้อยากไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายได้จริง ๆ แถมการที่มีกิมมิกเล็ก ๆ อย่างการเพิ่มกิจกรรมทางกายภาพ เดินออกกำลังกายและสะสมเป็น “แคลอรีเครดิต” เพื่อนำไปลุ้นรางวัลได้ ก็ทำให้โครงการนี้น่าสนใจขึ้น

ถ้าอย่างนั้น เราลองมาดูกันดีกว่าว่าการไปออกกำลังกายที่ “ฟิตเนส” นั้น “ดีกว่า” การออกกำลังเงียบ ๆ อยู่คนเดียวที่บ้านอย่างไรบ้าง แต่ถ้าใครมีวินัยดีอยู่แล้ว และชื่นชอบการออกกำลังกายที่บ้านคนเดียวมากกว่า อันนี้ก็ไม่ว่ากันนะ

1. มีอุปกรณ์สำหรับการออกกำลังกายให้เลือกหลากหลาย

เพราะฟิตเนสคือสถานที่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ (แต่ถ้าใครมีฟิตเนสส่วนตัวที่บ้านก็อีกเรื่อง) จึงมีอุปกรณ์และเครื่องกายบริหารครบครัน ทันสมัย และปลอดภัย เนื่องจากเครื่องมักถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น ลู่วิ่ง (Treadmill) จักรยาน (Stationary Bike) เครื่องเดินวงรี (Elliptical Trainer) เครื่องพายเรือ (Elliptical Trainer) เครื่องปีนบันได (Stair Stepper) และเครื่องออกกำลังกายสำหรับสร้างกล้ามเนื้อ (Weight Training) ส่วนต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายได้หลากลาย เลือกใช้เลือกฝึกได้ตามที่ต้องการ โดยไม่จำกัดอยู่กับท่าพื้นฐาน

นอกจากนี้ เครื่องเหล่านี้ยังช่วยให้การฝึกหรือออกกำลังกายได้ผลดีขึ้นด้วย เนื่องจากสามารถวัดผลได้ชัดเจน โดยเครื่องคาร์ดิโอส่วนใหญ่จะมีมาตรวัดที่บอกความเร็ว บอกระยะทาง และบอกพลังงานที่เผาผลาญไป ส่วนเครื่องที่ใช้ฝึกกล้ามเนื้อ เราจะรู้น้ำหนักที่เรายกได้ในการฝึกแต่ละครั้ง ครั้งนี้เราไหวเท่าไร ครั้งต่อ ๆ ไปสามารถท้าทายตัวเอง ยกได้เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนได้หรือไม่ เนื่องจากเราสามารถกำหนดน้ำหนักที่จะยกในแต่ละครั้งได้ด้วยตัวเราเอง เบาไปก็เพิ่ม หนักไปก็เอาออก หรือถ้าอยากท้าทายตัวเองด้วยน้ำหนักใหม่ ๆ ก็ไปต่อได้เรื่อย ๆ

2. สภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้น

บรรยากาศภายในฟิตเนส เราจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจออกกำลังกายเพื่อเป้าหมายอย่างหุ่นปัง หรือเพื่อสุขภาพดี มันคือยากระตุ้นขนานแรงที่ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย และกระตุ้นให้เราอยากออกกำลังกายมากขึ้นด้วย (แม้ว่าแรก ๆ จะฝืนตัวเอง และไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม) แต่ผ่านสัปดาห์แรกไปได้ ที่เหลือก็สบาย ๆ โดยเฉพาะกับพวกมือใหม่หัดใช้ฟิตเนส การเข้าไปอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นมันจะกดดันนิดหน่อย เราจะรู้สึกเกร็ง ๆ ถ้าเรานั่งเล่นมือถือ หรือนั่งว่าง ๆ โดยที่ไม่เข้าเครื่องไหนเลย เหมือนมีเสียงในหัว กลัวคนอื่นจะมองว่า “มานั่งเฉย ๆ ไม่ออกกำลังกาย แล้วจะเสียเงินเข้าฟิตเนสมาทำไม”

การที่เราได้เห็นความพยายามและการมีวินัยของคนอื่น จะช่วยให้เรามีแรงจูงใจ แรงผลักดัน ที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง มีกำลังใจพิเศษจากคนแปลกหน้าทุกคนในฟิตเนส แบบ “ถ้าเขาทำได้ เราก็ทำได้” คือเห็นคนนั้นหุ่นปัง ก็อยากจะปั้นหุ่นให้ปังแบบเขาบ้าง หรือถ้าเห็นคนที่อ้วนกว่าเรามาก ๆ แล้วเขายังมีความมานะ มีวินัยที่จะพาตัวเองมาออกกำลังกายได้ทุกวันแบบนี้ เราก็จะมีแรงฮึดที่อยากจะเอาชนะใจตัวเองให้ได้แบบเขาบ้าง โดยที่ผู้คนในฟิตเนสล้วนแล้วแต่ผ่านการเริ่มต้นนับหนึ่งมาทั้งนั้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจึงมักจะเต็มใจช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่แล้ว เช่น คำแนะนำในการใช้เครื่อง ท่าในการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เรื่องฝนฟ้าอากาศก็ไม่ใช่ปัญหา

3. มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ

อย่างที่บอกว่าทุกคนที่เข้ามาออกกำลังกายในฟิตเนส ก่อนที่จะกลายร่างเป็นคนหุ่นปัง กล้ามแน่น สุขภาพแข็งแรง พวกเขาล้วนแล้วแต่ผ่านการเป็นมือใหม่มาทุกคน ดังนั้น ไม่ต้องเขินอายหรือกลัวที่จะถามคนข้าง ๆ ว่า “เครื่องนี้มันใช้ยังไง” แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าเขาชำนาญพอไหม หรือก็เป็นมือใหม่ไม่ต่างจากเรา อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากเทรนเนอร์ หรือเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในฟิตเนส เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องแต่ละเครื่องอย่างถูกต้อง คำแนะนำในการออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือวางแผนการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมายของเราอย่างคร่าว ๆ เทรนเนอร์ประจำฟิตเนสยินดีช่วยเหลือโดยไม่ต้องจ้าง

แต่ถ้ารู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะออกกำลังกายในฟิตเนสด้วยตัวเอง โดยเฉพาะบรรดามือใหม่ การจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อคอยแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกาย การใช้เครื่องต่าง ๆ รวมถึงการวางแผนการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ก็เป็นวิธีที่หลายคนนิยมทำกัน เทรนเนอร์จะคอยดูแลแบบส่วนตัวทุกอย่างตามโปรแกรมที่เหมาะสมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก การสร้างกล้ามเนื้อ หรือการฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการออกกำลังกายผิดท่าและการบาดเจ็บได้

4. สิ่งอำนวยความสะดวกสุดจึ้ง

ที่บ้านมันสะดวกสบายกว่าก็จริง ในมุมที่ไม่ต้องเดินทางและออกกำลังกายเสร็จก็อาบน้ำได้เลย แต่มันก็คนละแบบกับที่ฟิตเนสล่ะนะ ฟิตเนสส่วนใหญ่ที่เราต้องเสียเงินจ่ายค่าสมาชิกเพื่อเข้าไปใช้บริการนั้น มักจะมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดี มีเหล่าเทรนเนอร์คอยดูแล ห้องแอร์เย็นสบาย มีมุมสำหรับกดน้ำดื่ม มีตู้บริการของว่างและเครื่องดื่ม มีเครื่องวัดมวลร่างกาย มีห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ล็อกเกอร์ ที่จอดรถ บางที่อาจมีห้องซาวน่าหรือสระว่ายน้ำด้วย ทำให้การมาออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องที่สะดวกสบายและไม่ฝืนตัวเองทำเรื่องยาก ๆ มากจนเกินไป ทั้งเครื่องมือ เทรนเนอร์ บรรยากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวก ล้วนแล้วแต่ช่วยสนับสนุนให้การออกกำลังกายสนุกมากขึ้น

5. มีคลาสออกกำลังกายกลุ่ม

นอกจากมุมออกกำลังกายด้วยตัวเอง ทั้งคาร์ดิโอและสร้างกล้ามเนื้อ ฟิตเนสหลายแห่งยังมีคลาสออกกำลังกายแบบกลุ่มให้เลือกเข้าร่วมด้วย เช่น คลาสโยคะ คลาสพิลาทิส คลาสเต้นซุมบ้า หรือบอดี้คอมแบท ที่จะช่วยใหการออกกำลังกายสนุกสนานกว่าเดิมและช่วยให้มีวินัยในการออกกำลังกายมากขึ้น ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ได้มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่จะหุ่นดี สุขภาพดีไปด้วยกัน แต่ถ้าใครไม่ถนัดที่จะพูดคุยกับใคร ก็เข้าไปร่วมคลาสกับคนอื่น ๆ ได้อยู่ดีโดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ได้ โฟกัสที่ความสนุกและการออกกำลังกายของตัวเองก็พอ

6. เรื่องของจิตวิทยาในการสร้างวินัย

อย่าทำเป็นเล่น ถ้าจ่ายเงินสมัครสมาชิกฟิตเนสแล้วแต่ไปใช้ไม่คุ้มเนี่ย เรื่องใหญ่ของใครหลายคนเลยนะจะบอกให้ และความคิดแบบนี้นี่เองที่ค่อย ๆ สร้างวินัยในการไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายขึ้นมา ทั้งที่จุดเริ่มต้นมันฝืนใจตัวเองสุด ๆ สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เรื่องที่คนบางคนยอมกัดฟันไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสทั้งที่รู้สึกฝืน ไม่ชอบ ไม่อยากไป หรือขี้เกียจ ด้วยเหตุผลที่ว่า “เสียดายเงิน ไม่อยากเสียเงินที่จ่ายค่าสมาชิกไปแล้วแบบเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้ประโยชน์หรือไม่รู้สึกคุ้มค่า” นั่นเอง นั่นทำให้การไปฟิตเนส ช่วยให้เรามีวินัยมากกว่าการออกกำลังกายที่บ้าน ดังนั้น การเสียเงินแพง ๆ เข้าฟิตเนส อาจจะไม่ได้น่าเสียดายเสมอไป สำหรับคนบางกลุ่ม

เพราะส่วนใหญ่แล้ว ฟิตเนสไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปใช้บริการได้ฟรี ต้องจ่ายค่าสมาชิกก่อนถึงจะเข้าไปใช้บริการได้ บางที่ก็ถูก บางที่ก็แพง แล้วแต่ว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ในขณะที่คนบางคนรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายที่บ้านได้ จึงเลือกที่จะใช้เงินแก้ปัญหา ไปสมัครสมาชิกฟิตเนสเพื่อที่จะได้บังคับตัวเองกลาย ๆ ว่าต้องไปออกกำลังกายให้ได้เท่านั้นเท่านี้ต่อสัปดาห์ ไม่งั้นก็จะเท่ากับเอาเงินที่จ่ายค่าสมาชิกไปแล้วไปทิ้งฟรี ๆ อย่างไรก็ตาม มันกลับให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพกลับมา บางคนผอมลง บางคนสุขภาพดีขึ้นมาก ๆ จากการที่ฝืนใจไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสให้ได้บ่อย ๆ ด้วยความเสียดายเงิน! ซึ่งมีทฤษฎีบางทฤษฎีที่อธิบายได้ ดังนี้

  • Sunk Cost Fallacy (กับดักต้นทุนจม) คนเรามีแนวโน้มจะ “ยึดติด” กับต้นทุนที่จ่ายไปแล้ว ในที่นี้ก็คือค่าสมาชิกฟิตเนสนั่นเอง แม้ว่าการจ่ายเงินนั้นไม่สามารถเรียกคืนได้ แทนที่จะคิดว่า “เงินจ่ายไปแล้วก็จบ” แต่เรากลับคิดว่า “ถ้าไม่ไป มันจะเสียเงินเปล่า” เลยพยายามบังคับให้ตัวเองไปฟิตเนสอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่ไม่ชอบ ไม่สนุก ขี้เกียจ แต่ก็ต้องไปให้คุ้ม ทั้งที่จริง ๆ ถ้าอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำให้เสียเงินเพิ่ม
  • Loss Aversion (กลัวการสูญเสีย) ธรรมชาติของมนุษย์กลัวการ “สูญเสีย” มากกว่าการ “ได้มา” ไม่ชอบความรู้สึกที่ว่าตัวเอง “ขาดทุน” ในสิ่งที่ลงทุนไปแล้ว ดังนั้น การที่เราไม่ไปฟิตเนส จึงเท่ากับการสูญเสีย (เงินที่จ่ายไปแล้ว) ส่วนการไปฟิตเนสจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความรู้สึกขาดทุนนั้น อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้รู้สึกว่า “ได้ใช้สิทธิ” จากเงินที่จ่ายไป จิตใจเลยเลือกหนทางที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกสูญเสีย ทั้งที่ไม่เต็มใจเท่าไร
  • Commitment Device (เครื่องมือบังคับวินัย) เพราะเริ่มแรกที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าสมาชิกฟิตเนส มันมีพันธะของการ “สัญญากับตัวเอง” เรารู้ตัวว่าเราลงทุนไปแล้ว ก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง หมั่นไปฟิตเนสประจำ เพื่อทำตามสัญญาที่สอดคล้องกับการตัดสินใจครั้งแรกของเรา หลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดกับตัวเองที่ไม่ทำตามสัญญา และปล่อยให้เงินที่จ่ายไปแล้วสูญเปล่า
  • Endowment Effect (เอฟเฟกต์การครอบครอง) เมื่อเราจ่ายเงินแล้ว เราจะมองว่าสิทธิในการใช้ฟิตเนส “เป็นของเรา” และมนุษย์จะให้คุณค่ากับสิ่งที่เป็นของตัวเอง ก็เลยอยากที่จะใช้สิทธิให้คุ้ม

นี่จึงเป็นกลยุทธ์ที่ใครหลายคนใช้บังคับตัวเองให้ไปออกกำลังกาย โดยหวังผลที่จะลดความอ้วนหรือเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่ขี้เกียจแต่ดันเสียดายเงิน จึงพยายามไปฟิตเนสอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพฤติกรรมที่ทำสม่ำเสมอจะค่อย ๆ กลายเป็นวินัยไปในที่สุด และเมื่อเราเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดี ก็จะทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องฝืนใจมากเท่าตอนแรก ๆ เริ่มที่จะเต็มใจทำด้วยตัวเอง เริ่มอยากไปฟิตเนส เริ่มเสพติดการออกกำลังกาย เพราะอยากที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกครั้ง

7. สร้างโอกาสในการเริ่มต้นความสัมพันธ์

อาจจะเป็นข้อดีที่ดูขำ ๆ แต่ความจริงก็คือ มันมีคนที่ได้ “แฟน” จากฟิตเนสจริง ๆ นะเออ! ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่เดินเข้ามาถามว่า “เครื่องนี้มันใช้ยังไงคะ?” หรือจู่ ๆ ก็เดินเข้ามาแนะนำว่า “เครื่องนี้ต้องใช้แบบนี้นะครับ!” ในวันนั้น จะพัฒนาไปสู่ “ไปดูหนังกันไหม” เตรียมเลื่อนเป็นว่าที่แฟนในอนาคต การไปฟิตเนสคือการเปิดโอกาสให้เราได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา เพิ่มโอกาสที่จะเจอคนที่โดนใจมากกว่าอยู่บ้านที่มีแค่ทีวี ที่นอน และตู้เย็น ถึงที่ฟิตเนสจะมีทั้งคนโสดคนไม่โสด แต่หลัก ๆ ก็คือมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของสุขภาพ แค่นี้ก็พูดคุยภาษาเดียวกันแล้ว จากเพื่อนร่วมทางสายสุขภาพ คุยไปคุยมาอาจจะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ก็ได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ได้เพื่อนออกำลังกายเพิ่มขึ้นแหละ