พอได้หรือยังกับการ “ด่วนตัดสิน” ผลักผู้อื่นให้เป็น “จำเลยสังคม”

จะเป็นอย่างไร หากจู่ ๆ คุณก็ได้กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน รถทัวร์จากทั่วทุกสารทิศแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนชีวิตส่วนตัวของคุณอย่างใกล้ชิด พร้อมกับคำกล่าวหาร้ายแรงที่ผลักให้คุณเป็น “จำเลยของสังคม” ซึ่งเมื่อสืบสาวราวเรื่องไปเรื่อย ๆ คุณก็พบว่าจุดเริ่มต้นของความพังพินาศที่เข้ามาหาคุณโดยไม่ทันตั้งตัวนั้น เป็นเพียงเรื่องที่สังคมเข้าใจคุณผิด เพราะมีใครบางคนที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง คนผู้นั้นอาจจะแค่คิดเองเออเองว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในช่วงเวลาสั้น ๆ จากมุมมองแคบ ๆ ตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิด และยังไม่ทันที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงใด ๆ เขาก็ด่วนตัดสินว่าคุณคือคนไม่ดี จึงรีบติดป้ายประจานคุณเพราะหิวแสง อยากมีคอนเทนต์แมส ๆ เป็นของตัวเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น เกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้าถึงคนทุกพื้นที่ ใคร ๆ ก็สามารถสร้างคอนเทนต์เป็นของตัวเองบนช่องทางที่ตัวเองมี ผู้คนต่างจับจองแพลตฟอร์มต่าง ๆ และพยายามจะมีบทบาทให้ได้มากที่สุดบนโลกออนไลน์ นอกจากนี้ การรับรู้ของผู้คนก็เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปของชีวิตคนอื่นนั้นทำได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ไถฟีด ข่าวสารกระจายได้อย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่า “เร็วเกินไป” และยิ่งเป็นเรื่องในด้านลบ โพสต์เหล่านั้นจะถูกแชร์ออกไปสู่คนหลักพันหลักหมื่นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งมันก็เร็วพอที่จะทำให้คุณตกเป็นจำเลยสังคมในช่วงไม่กี่วินาทีนั้นนั่นเอง หากคุณคือตัวเอกในโพสต์ลอย ๆ นั้น

เมื่อคุณตกเป็นจำเลยสังคมทั้งที่คุณไม่ได้ทำผิดอย่างที่ถูกกล่าวหา แน่นอนว่าชีวิตคุณกำลังจะเดือดร้อนอย่างหนัก ถ้าคุณพยายามอธิบาย มันจะกลายเป็นคำแก้ตัวที่ไม่มีแม้แต่คนที่จะรับฟัง ไม่มีใครสนใจหรืออยากรู้ว่าที่มาที่ไปของข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีแต่คนที่จ้องจับผิดและบีบให้คุณยอมรับในสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ ถ้าคุณเงียบ ชีวิตของคุณจะยิ่งพัง เพราะเหล่าชาวเน็ตจะตามด่าคุณไม่เลิก ชีวิตส่วนตัวของคุณจะโดนขุดออกมาแขวนประจานให้แร้งออนไลน์รุมจิกทึ้ง วิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปากจนไม่มีที่ยืนในสังคม คุณแทบจะไม่มีสิทธิได้ลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองเลย และอาจจะต้องยอมรับว่าตนเองจะต้องถูกพรากความยุติธรรมไป

“สังคมคนช่างติ” เปิดกว้างทางความคิด กระโดดร่วมวงวิจารณ์ ด่วนตัดสินอย่างง่าย ๆ จากมุมเดียว และผลักคนคนหนึ่งให้กลายเป็น “จำเลยสังคม”

ต้องทำใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายมาก ๆ ในปัจจุบัน การตกเป็นจำเลยสังคม เกิดขึ้นกับใครที่ไหนก็ได้ ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเองหรือคนใกล้ตัวคุณได้ในสักวันเช่นกัน ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้ข่าวสารของคนในสังคม ทำให้ข้อมูลข่าวสารถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และใคร ๆ ก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระ แต่ใครจะมามัวสนใจอยู่ว่าเรื่องดราม่าที่กำลังเป็นกระแสอยู่นั้น เป็นข้อมูลจริงหรือข้อมูลเท็จ จะมีคนสักกี่มากน้อยที่จะตั้งคำถามว่าคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิด ทำไม่ดี เขาได้ทำจริง ๆ หรือเปล่า หรือลองพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกขั้นว่า แล้วถ้าเขาไม่ได้ทำล่ะ จะมีใครรับผิดชอบต่อสิ่งเลวร้ายที่เขาต้องเผชิญ

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกออนไลน์ เรามักจะเห็นแต่คนที่ใช้ความรู้สึกหรือประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองในการด่วนตัดสินคนอื่นทั้งนั้น ด่วนประจาน ด่วนประณาม ผสมโรงด่า เพราะคนเลวมันต้องไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่ก็ยกกรณีศึกษาของตัวเองขึ้นมา ฉันเองก็เคยเจออย่างนั้นอย่างนี้ “ฉะนั้น” กรณีนี้ก็น่าจะเหมือนกันแหละ (!?) แต่มีน้อยคนมากที่จะสงสัยแล้วตั้งคำถาม ขอฟังรายละเอียดเพิ่มเติม มีพยานไหม ขอดูหลักฐาน หรือรอฟังคำอธิบายอีกข้างจากฝ่ายที่กำลังถูกสังคมรุมทึ้งอยู่ และเรื่องตลกร้ายที่เกิดขึ้นจริงอีกเหมือนกัน คือถ้ามีใครแสดงออกว่าเห็นแตกต่าง มีความเห็นที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อจำเลยสังคม ก็จะโดนหางเลขไปด้วยว่าเข้าข้างคนผิด และ…อาจโดนล่าแม่มดเป็นรายต่อไป

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากในสังคมคนช่างติ ซึ่งคถุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าในน่ากลัวแค่ไหน ถ้าวันนี้คุณคือคนด่วนตัดสินคน และกำลังร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอยู่ แต่เมื่อไรที่คุณตกเป็นจำเลยสังคมเสียเอง คุณจะตระหนักได้ว่า การเป็น “จำเลยสังคม” ในสังคมของคนช่างติ ที่พร้อมจะด่วนตัดสินผู้อื่นอย่างมักง่าย ไม่มีหลักฐาน เห็นใครเขาด่าก็อยากจะร่วมวงด่าด้วย คิดแต่จะประณามคนอื่นตามความคิด อารมณ์ และความรู้สึกเพื่อความสะใจของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ขาดวิจารณญาณ (ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้) มันส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ที่ถูกสังคมตัดสินร้ายแรงแค่ไหน

เป็นจำเลยสังคมบนโลกออนไลน์ เรื่องราวของคุณจะถูกจดจำตลอดไป

ในสังคมไทย โซเชียลมีเดียถือว่ามีบทบาทอย่างมากต่อการรับรู้ของคนในสังคม มีผู้คนมากมายที่เสพข่าวสารบ้านเมืองและประเด็นดราม่าต่าง ๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย ดังนั้น หากเรื่องใดก็ตามถูกจุดโหมให้เป็นกระแสขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะมอดลงในเร็ววัน โดยเฉพาะกับเรื่องราวที่อยู่ในกระแสข่าวที่มีเนื้อหาดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างมาก บวกกับช่องทางการแสดงความคิดเห็นที่ไม่มีการกรอง ทำให้เกิดการชี้นำทางความคิดได้ง่ายยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การด่วนสรุปที่แตกแขนงออกไปในหลายทิศทาง บางเรื่องที่จริง ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่พากันคิดเองเออเองไปกันไกลโข

และที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เกิดการคาดคะแนเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยมูลเค้าความจริงเพียงนิดเดียว มีการใช้ความเห็นชักนำความคิดคนอื่น ๆ นำไปสู่การพุ่งเป้าป้ายสีจนได้แพะหรือจำเลยสังคมมารองรับอารมณ์และคำสาปแช่งหยาบคายจากสังคม โดยไม่มีการพิสูจน์ความจริงอะไรเลย นอกจากนี้ บนโลกออนไลน์มันยังง่ายต่อการตามหาตัวตนของคนที่กำลังตกเป็นเป้าการโจมตี การ “เปิดวาร์ป” ทำให้นักสืบโซเชียลสนุกสนานกับการตามขุด ชี้เป้า เอาทัวร์ไปลง ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้ทำผิดจริง ๆ และในขณะเดียวกัน ทุกอย่างบนโลกออนไลน์จะคงอยู่ตลอดไป เพราะ Digital Footprint กำลังทำงาน นึกถึงเมื่อไร ก็ค้นหาข่าวนี้ได้ตลอด

ขนาดผู้ต้องหาคดีอาชญากรรม ก่อนที่จะถูกตัดสินโทษ เขายังมีสิทธิที่จะแก้ต่างให้กับตนเอง มีสิทธิที่จะสู้คดีด้วยพยานและหลักฐานต่าง ๆ และเขาจะยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่าเขามีความผิดจริง แต่กับคนธรรมดา ๆ ที่ตกเป็นจำเลยของสังคม พวกเขากลับไม่ได้รับสิทธินี้ ความรุนแรงจากการด่วนตัดสิน ทำให้เขาถูกโจมตีจนไม่มีที่ยืนในสังคม สูญเสียทุกอย่าง เหมือนตายทั้งเป็น แต่ถ้าความจริงปรากฏว่าเขาไม่ใช่คนผิด ก็ไม่มีชาวเน็ตคนไหนเหลียวหลังกลับมาขอโทษเขาที่ผลักไสไล่ส่งเขาไปยืนที่ปากเหวสักคน ไม่เคยมีใครต้องรับผิดชอบความเจ็บปวดของ “จำเลยสังคม”

จะว่าไปแล้ว สังคมเราก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอดเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เป็นที่จับตาของคนในสังคม เพราะธรรมชาติของโซเชียลมีเดียมันรวดเร็วและไร้ซึ่งการกรอง รวมถึงความสะดวกที่ใครคิดอะไรก็สามารถพิมพ์ลงไปได้ ยิ่งกระแสแรงมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งอยากมีส่วนร่วมเร็ว ๆ อยากหาพวกที่คิดแบบเดียวกัน ทำให้ขาดการยั้งคิดว่าคำหรือประโยคที่พิมพ์ด่าคนอื่นเหล่านั้น จะส่งผลอย่างไรต่อความคิดคนอื่น ๆ หรือสังคม ดังนั้น จึงควรพิจารณาความคิดของตนเองก่อนอย่างรอบคอบ เป็นผู้อ่านและผู้ติดตามที่ดีให้ได้ เพื่อสุดท้ายจะได้ไม่เกิดการใช้ความคิดที่ขาดการกลั่นกรอง จนกลายเป็นคมมีดที่ทำร้ายผู้อื่น

จิตวิทยาแบบ “พวกมากลากไป” ทำไมสังคมพร้อมจะรุมทึ้งจำเลยสังคม

พฤติกรรมของฝูงชนในโซเชียลมีเดียพยายามจะมีส่วนร่วมกับประเด็นร้อนต่าง ๆ ในสังคมด้วยการ “รุมด่าทอตามกัน” มักเกิดจากการด่วนตัดสินด้วยข้อมูลที่มีเพียงน้อยนิด เป็นข้อมูลเพียงด้านเดียว และเป็นข้อมูลที่เป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ สถานการณ์ทั้งหมดเท่านั้น เมื่อนำมาตัดสินด้วยความเข้าใจของตัวเองและอคติ จึงมีการแสดงความคิดเห็นในเชิงลบโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือไม่สนใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ทั้งหมด พฤติกรรมเหล่านี้มีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่อธิบายได้หลายแง่มุม เช่น

  • การคิดตามกลุ่ม (Groupthink) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มคนเริ่มมีพฤติกรรมไปในทางเดียวกัน เริ่มคิดทำนองเดียวกัน และสนับสนุนความเห็นแบบเดียวกัน แต่บางครั้งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แต่ละคนในกลุ่มคิดเช่นนั้นจริง ๆ เพียงแต่จะรู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นที่ไม่เห็นพ้องกับคนอื่น ๆ ทำให้เมื่อการคิดตามกลุ่มเกิดขึ้น ผู้คนในกลุ่มจะพยายามรักษาความสามัคคีในกลุ่ม จนไม่กล้าตั้งคำถามหรือท้าทายความคิดเห็นที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม เริ่มมีความเห็นอย่างเดียวกัน เห็นด้วยกับการโต้แย้งอย่างเดียวกัน เริ่มที่จะมีการสอดประสานกันขึ้น
  • อคติยืนยัน (Confirmation Bias) เป็นพฤติกรรมในการการแสวงหา เปิดรับ และตีความข้อมูลที่ได้มาเพื่อสนับสนุนและยืนยันความเชื่อเดิมของตัวเอง การกระทำนี้จะส่งผลให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อเกิดเป็นอคติ การยึดติด ทำให้หลายครั้งถึงกับมองข้ามข้อเท็จจริงอื่น ๆ ที่มันขัดแย้งกับสิ่งที่เราคิด พูดง่าย ๆ ก็คือ “จงใจ” ที่จะไม่รับรู้ข้อมูลที่ถูกโต้แย้งกลับมา เพราะเป็นข้อมูลที่ตัวเองไม่อยากได้ยิน พฤติกรรมนี้คือ “การขุด” เรื่องราวในอดีตของคนที่ตกเป็นจำเลยสังคม นำมาวิเคราะห์และตีความว่าเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ จากนั้นก็เอามาเชื่อมโยงกับข้อมูลที่กำลังเป็นข่าว เพื่อยืนยันว่าคนคนนี้มีพฤติกรรมแบบนี้จริง ๆ
  • การไร้ความรับผิดชอบในฝูงชน (Deindividuation) เมื่อเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของฝูงชน เราจะรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ เพราะการกระทำนั้นถูก “กลืน” ไปกับกลุ่ม พูดง่าย ๆ ก็คือ คนเหล่านี้จะหาข้ออ้างให้กับตัวเองว่าก็แค่ด่าไปตามข้อมูลที่ได้รับมาเท่านั้นเอง แล้วใคร ๆ เขาก็ด่ากันทั้งนั้นนี่นา แล้วสถานการณ์มันก็โน้มนำให้ร่วมผสมโรงด่าตามเขาไป ซึ่งการรุมด่าผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย มักเกิดในสถานการณ์ที่คนเรารู้สึกว่าไม่มีตัวตนและไม่มีใครมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเมื่อเราอยู่ในฝูงชน ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ด่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบอะไร
  • ปรากฏการณ์รถพ่วง (Bandwagon Effect) เป็นจิตวิทยาฝูงชน เมื่อผู้คนมักปฏิบัติตามพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงว่าจริง ๆ แล้วตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่ทำเพื่อความสบายใจและไม่ต้องการแตกต่างจากคนอื่น แนวโน้มก็คือ การพยายามปรับความเชื่อและพฤติกรรมของตนเองให้สอดคล้องกับกลุ่ม แบบเดียวกันกับการด่าผู้อื่นเพราะไหลตามน้ำโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากเห็นว่าคนอื่น ๆ ก็ทำหรือเชื่อแบบเดียวกัน จะเชื่อตามก็คงไม่ได้แปลกอะไร
  • ความสะใจบนความล้มเหลวของผู้อื่น (Schadenfreude) การที่เราแอบมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น หรือแอบสมน้ำหน้าที่คนคนนั้นโดนทัวร์ลง มักเกิดในสถานการณ์ที่มีความรู้สึกอิจฉาหรือความรู้สึกเหนือกว่า เนื่องจากความได้เปรียบในการแข่งขันถือเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ เรามักสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้ตัวเอง โดยการเปรียบเทียบตนกับคนอื่น เมื่อเห็นคนคนหนึ่งล้มเหลว โดยเฉพาะพวกคนดัง คนมีชื่อเสียง ในอดีตเรารู้สึกลึก ๆ ว่าเขาเหนือกว่าเรา แต่เมื่อเกิดเรื่อง เขาจะอยู่ต่ำกว่าหรืออยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อสังคมมีประเด็นข่าวดุเด็ดเผ็ดร้อน คนกลุ่มนี้คือพวกที่เข้ามาเพื่อเหยียบซ้ำ หรือพยายามจะทำให้เห็นว่าพฤติกรรมของคนที่ถูกด่าก็สมควรแล้วที่ถูกโจมตี ทำตัวเอง
  • การตัดสินอย่างฉับไว (Heuristics and Snap Judgments) มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีตรรกะ คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลได้ แต่นักจิตวิทยากลับกล่าวว่า มนุษย์เราอาจไม่ได้คิดแบบมีเหตุมีผลเสมอไป บางครั้งวิธีคิดของเราอาจถูกบิดเบือนโดยทางลัดในการคิด เพื่อให้ประหยัดเวลาเมื่อจำเป็นต้องตัดสินใจภายในระยะเวลาที่จำกัด หรือต้องตัดสินเหตุการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทำให้การตัดสินของเราอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องเสมอไป ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่เราตัดสินจำเลยสังคมคนหนึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยที่ได้รับมาเท่านั้น โดยที่ไม่ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง วิธีการคิดแบบนี้อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ “คดีพลิก” เมื่อมีข้อเท็จจริงใหม่ออกมา
  • ห้องเสียงสะท้อนของโซเชียลมีเดีย (Echo Chamber) ในยุคที่ผู้คนเลือกใช้โซเชียลมีเดียเป็นสื่อหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดการรับข้อมูลด้านเดียวซ้ำ ๆ กัน ไม่มีการโต้แย้ง หรือข้อเสนอแนะทางอื่น ทำให้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่ช่วยเสริมสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน” หรือการวนซ้ำของความเชื่อแบบเดียวกันในคนกลุ่มเดียวกัน ซึ่งการเสพข้อมูลในกลุ่มคนที่คิดเหมือนกัน ก็ทำให้ความคิดเห็นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องนี้มีคนคอมเมนต์ไปแล้ว ฉันจะต้องฉีกออกไปเรื่องอื่น โดยที่ยังคงวนเวียนอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์เป้าหมายคนเดิม การที่คุณอยู่ในห้องเสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรงและเกลียดชัง คุณเองก็จะรู้สึกสนุกไปกับเสียงสะท้อนแบบนั้น