สงครามราคา EV จะไปสุดตรงไหน

“77,379” คือตัวเลขของยอดจองรถในงานมอเตอร์โชว์ 2025 ที่เพิ่งจะผ่านไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นยอดจองที่เพิ่มขึ้นจากงานปีที่แล้วถึง 44.8 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขดังกล่าวบ่งบอกอะไรเราบ้าง และรถพลังงานไฟฟ้าล้วน (EV) ยังเป็นรถที่คนไทยต้องการใช้มากที่สุดตอนนี้จริงหรือ

แม้จะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 แต่ตัวเลขในวันนั้นก็ยังมียอดอยู่ที่ 1,287 คัน และเมื่อทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ตัวเลขการจองก็กลับมารันแบบชุดใหญ่ โดยเฉพาะวันสุดท้าย 6 เม.ย. ยอดจองวันเดียวแตะหลัก 30,000 คัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีการคาดกันว่าด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี ความคึกคักในตลาดน่าจะลดลง

หากไล่เรียงดูจากลำดับของค่ายรถที่เปิดเผยตัวเลขยอดจองในงานปีนี้ BYD ค่ายรถจีนมาอันดับหนึ่ง ยอดจอง 10,353 คัน ซึ่งเกือบครึ่ง (4,014 คัน) เป็น BYD Dolphin รถไฟฟ้าไซซ์เล็กที่กระหน่ำลดราคารุ่นเริ่มต้น 5 แสนบาทมีทอน ส่วนค่ายรถที่มียอดจองในงานรองลงมาเป็นที่สอง คือพี่ใหญ่อย่างโตโยต้า มียอดจองอยู่ที่ 9,615 คัน

ซึ่งในจำนวน 9,615 คัน ที่โตโยต้าบอกว่าสูงสุดในรอบ 13 ปีนั้น น่าสนใจว่าเป็นรถที่ใช้ระบบไฮบริดแบบไม่ต้องชาร์จไฟ (HEV) จำนวน 3,795 คัน คิดเป็นสัดส่วน 39 เปอร์เซ็นต์ของยอดจองรวม และหากลงลึกไปมากกว่านั้น รุ่นของไฮบริดที่ทำยอดได้มากที่สุดของโตโยต้าก็คือ ยาริส ครอส ตามด้วยโคโรลล่า ครอส นั่นเอง

หมายความว่าจากยอดจองรวม 77,379 คันทั้งหมดในงาน หากจำแนกประเภทของระบบพลังงานที่ใช้ รถในกลุ่ม xEV ที่รวมหมดทั้ง EV, HEV และ PHEV ถูกจองไป 65 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรถเครื่องยนต์สันดาปแบบเพียว ๆ มีตัวเลขที่ 35 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าเทรนด์รถใหม่ป้ายแดงบ้านเราตอนนี้ แม้ EV จะมาแรง แต่ HEV ก็มาเงียบ ๆ เช่นกัน

ฝั่งของ EV ไม่น่าแปลกใจครับ เพราะเมื่อมีสงครามราคาเกิดขึ้นในงานบวกกับโปรโมชันพิเศษ ก็ยิ่งทำให้รถไฟฟ้ายุคนี้ยิ่งราคาลดลงไปเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง EV จากเกาหลีใต้อย่าง ฮุนได IONIQ 5 ยังอยู่ไม่ได้ต้องหั่นราคาลงถึง 3 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งถ้าลดราคากันไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เลยครับว่าสงคราม EV บ้านเราจะไปสุดตรงไหน

ส่วนค่ายรถญี่ปุ่น เท่าที่ดูพวกเขามีจุดยืนชัดเจนว่า HEV หรือไฮบริด น่าจะยังเป็นตัวทำยอดไปได้อีกหลายปี โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เครื่องยนต์ที่เชื้อเพลิงสังเคราะห์ หรือ E-Fuels ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อครับว่าจะตัดสินใจเลือกไปทางไหน หนึ่งในคำถามที่ผมได้รับมาเยอะมากจากคนใกล้ตัวคือ “สนใจรถ EV ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ ถ้าซื้อแล้วระยะยาวจะเป็นอย่างไร?”

บอกเลยครับว่านี่คือคำถามที่ไม่น่าจะมีใครตอบได้ ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับไหน เพราะรถ EV ที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราเวลานี้ บางยี่ห้อเราเพิ่งได้ยินชื่อ บางยี่ห้อเข้ามาไทยได้ 1-2 ปี ฉะนั้น ไม่ว่าจะกูรูสำนักไหนไม่มีใครตอบแบบตรงคำถามได้แน่นอนว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไร เพราะยังไม่เคยมีใครใช้รถไปจนถึงคำว่า “ระยะยาว” เลย

เวลาที่ผมได้รถแต่ละยี่ห้อมาลองขับทดสอบในช่วงสั้น ๆ 3-5 วัน ด้วยความที่เป็นรถใหม่ที่แทบจะไม่มีข้อบกพร่องด้านเทคนิคใด ๆ อะไรก็ดูดีไปหมด จะมีก็เรื่องความชอบ-ไม่ชอบส่วนตัวแค่นั้น แต่ไม่มีทางเลยครับที่เราจะรู้ได้ว่าระยะยาวใช้แล้วจะซ่อมแพงไหม อะไหล่หายากไหม จะมีปัญหาอะไรไหม ที่ตอบได้ก็คือการคาดการณ์เท่านั้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่ยังมาไม่ถึง ใครจะไปรู้ครับ (ฮา ๆ)

เอาเป็นว่า EV กับ HEV มันก็มีข้อดีของมันจะให้ฟันธงก็คงลำบาง ก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก ถ้าเน้นขับในเมืองเป็นหลัก อยู่บ้านติดโฮมชาร์จเจอร์ได้ จัดไปเลยครับ EV คุ้มค่าแน่นอน แต่หากต้องขับไกล ๆ เดินทางไกลบ่อย ไม่มีที่ติดตั้งโฮมชาร์จเจอร์ส่วนตัว หนีไป HEV เถอะครับ ชีวิตดีกว่าแน่นอน