เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีคุณภาพ ใช้แล้วดี เห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพง หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่แปะป้ายว่าเป็นแบรนด์จากต่างประเทศเสมอไป เพราะสินค้าไทย แบรนด์ไทย โดยคนไทย ก็มีอยู่หลายแบรนด์เหมือนกันที่ใช้ดี ราคาน่าคบหา และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์กับสภาพอากาศบ้านเราและสภาพผิวพื้นฐานของคนไทยโดยเฉพาะ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีใครจะเข้าใจปัญหาและสภาพผิวของคนไทยได้ดีเท่ากับคนไทยด้วยกันเองอีกแล้ว
ดังนั้น Tonkit360 จึงจะมายกตัวอย่างแบรนด์ไทยและผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ตัวที่ใช้ดีจนต้องยกมาอวยให้ทุก ๆ คนได้ไปลองพิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดที่ยกมาในคอนเทนต์นี้ เป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่ผู้เขียนเคยได้ลองใช้ด้วยตัวเองทั้งหมด ส่วนใหญ่ยังคงใช้อยู่ ใช้มานานจนนับไม่ได้แล้วว่าใช้ไปเยอะแค่ไหน แต่บางตัวก็ไม่ได้ใช้ต่อเพราะไม่มีปัญหาผิวนั้นแล้ว (ก็มันใช้ดีจนจบปัญหาผิวไปแล้วนี่เนอะ) อย่างไรก็ตาม แบรนด์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ยกมา ไม่ได้หมายความว่าใช้ไม่ดี แค่ผู้เขียนไม่เคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้น ๆ เท่านั้นเอง
Cute Press – Oriental Princess
หลายคนอาจจะไม่รู้มาก่อน ว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้สังกัดเดียวกัน คือกลุ่มบริษัท SSUP (บริษัท เอสเอสยูพี (ประเทศไทย) จำกัด) ซึ่งนี่อาจจะตอบข้อสงสัยของใครหลายคนได้ ว่าทำไมหน้าร้านในห้างสรรพสินค้าของทั้ง 2 แบรนด์ มักจะตั้งอยู่ติดกัน โดยคิวท์เพรสนั้นมีมาก่อน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 ส่วนโอเรียนทอลพริ้นเซส ตามมาในปีพ.ศ. 2533
หมวดหมู่สินค้าของทั้ง 2 แบรนด์ก็จะคล้าย ๆ กัน คือ เครื่องสำอาง สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและร่างกาย มีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ใช้ดี มีคุณภาพ ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากพัฒนาสินค้าขึ้นโดยอิงจากพื้นฐานผิวของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ที่สำคัญคือราคาน่าคบหา ต่ำพันทุกชิ้น จึงเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่ายทุกช่วงวัย เด็กวัยเรียน วัยทำงาน ผลิตภัณฑ์หลายรายการแค่มีแบงก์แดงใบเดียวก็ซื้อได้แถมมีทอนอีกต่างหาก
โดยผลิตภัณฑ์สุดจึ้งของคิวท์เพรส นอกจากแป้ง Evory Retouch Oil Control Foundation Powder SPF30 PA+++ หรือแป้งตลับม่วงในตำนานที่ครองใจสาวไทยหลายคนแล้ว อีกตัวที่เด็ดมาก ๆ จนต้องขออวยก็คือ 1-2 Beautiful Make Up Fixing Spray ซึ่งเป็นสเปรย์ล็อกเมกอัปที่ติดทนมาก เครื่องสำอางอยู่ทนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันดึก คือถ้าแต่งหน้าออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถ้า 4-5 ทุ่มยังต้องใช้หน้าสวย ๆ เครื่องสำอางก็ยังอยู่ อาจจะมีดรอปลงบ้างนิดหน่อยแต่โดยรวมก็ยังเป๊ะ แต่งเพิ่มเข้าไปนิดหน่อยก็เป็นอันใช้หน้าต่อได้ ทนขนาดที่ว่าเหงื่อหยดเป็นเม็ด ๆ จากการออกกำลังกายประมาณ 1-2 ชั่วโมง แค่ซับ ๆ เหงื่อออก หน้าก็กลับมาเป๊ะเหมือนเดิม
ส่วนของโอเรียนทอลพริ้นเซส ตัวที่ใช้ดีก็มีหลายตัว แต่ที่ชอบมาก ๆ และใช้ต่อเนื่องมาหลายเซตแล้ว คือ เซต Underarm Care Pure White โดยในเซตนี้จะมีทั้งหมด 3 ตัว มีตัว Underarm Care Pure White Secret Gentle Wash สครับสูตรอ่อนโยนที่ช่วยให้ผิวใต้วงแขนเรียบเนียนขึ้น และขาวขึ้นด้วย ตัว Underarm Care Pure White Secret Toning Essence เป็นเอสเซนส์ที่ปรับผิวใต้วงแขนให้กระจ่างใส และตัว Underarm Care Pure White Secret Cream เป็นครีมบำรุงใต้วงแขนให้เรียบเนียน ใช้ครบทั้ง 3 ตัว ความกังวลต่าง ๆ นานาของผิวใต้วงแขนจะค่อย ๆ หายไป ที่เคยดำเป็นปื้น ๆ ก็ดีขึ้น ผิวหนังไก่ดีขึ้นมาก ขนคุดน้อยลง และที่สำคัญ ยกแขนส่องกระจก จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ารักแร้เรียบเนียนขึ้นกว่าเดิม
Mistine
“มิสทีนมาแล้วค่ะ” เป็นประโยคที่มีเสียง ใครเคยได้ยินเสียงนี้ บอกเลยว่าไม่เด็กแล้วนะ เพราะเมื่อก่อน โมเดลธุรกิจของมิสทีนจะเป็นแนวขายตรง หรือก็คือระบบการขายแบบตัวแทนจำหน่าย มีแคตตาล็อกสินค้าและมีตัวแทนขายตามบ้าน ซึ่งสโลแกน “มิสทีนมาแล้วค่ะ” ก็เลยมีความหมายตรงตัว บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์มิสทีน ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปีพ.ศ. 2531 นั่นทำให้มิสทีนเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่อยู่คู่คนไทยมานานเกือบจะ 40 ปีแล้ว
สำหรับหมวดหมู่สินค้าของมิสทีน ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องสำอาง สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์ด้านความงามที่สำหรับดูแลร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกจากนี้ยังมีพวกอุปกรณ์เสริมสวย สินค้าแฟชั่น และพวกของใช้ในบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนสมัยที่ยังขายผ่านแคตตาล็อก จะมีแคตตาล็อกออกเป็นรอบ ๆ สินค้าหลายตัวเป็นผลิตภัณฑ์ตัวหลักที่ยืนพื้นในแคตตาล็อกทุกเล่ม แต่บางตัวก็จะโปรโมตเป็นช่วง หากแคตตาล็อกเล่มนั้นหมดช่วงการขายไปแล้ว ก็จะหาสินค้าตัวนั้นในแคตตาล็อกเล่มใหม่ไม่ได้ สินค้าอาจมีเวียนมาลงขายอีก แต่ต้องขยันตามดูในทุกเล่มทุกรอบ ถ้าอยากได้สินค้าตัวนั้นจริง ๆ
มิสทีน เป็นสินค้าแบรนด์ไทยอีกแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์น่าอวยหลายตัว และมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เมื่อก่อน วัยรุ่นวัยเรียนที่เพิ่งหัดแต่งหน้า ก็มักจะต้องมีผลิตภัณฑ์ของมิสทีนอยู่ในกระเป๋าแต่งหน้าด้วยเสมอ และตัวที่มีรีวิวว่าจึ้งจริงจังคือผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอายไลเนอร์ ซึ่งที่หนึ่งในใจต้องยกให้ Mistine So Black อายไลเนอร์แท่งสีเหลืองในตำนาน สีดำสนิท ติดทนมันทั้งวัน เนื้อแมท กันน้ำ กันเหงื่อ ไม่แพนด้า แถมยังเขียนง่าย เส้นบางเรียวเล็กแบบกริบ มี 2 แบบให้เลือก คือ Mistine So Black Liquid Eyeliner เป็นอายไลเนอร์แบบจุ่ม หัวพู่กัน กับ Mistine So Black Glossy Auto Pen Eyeliner ตัวนี้เป็นแบบแท่ง หัวพู่กันเหมือนกัน มือใหม่หัดกรีดอายไลเนอร์ควรลอง เพราะควบคุมง่ายกว่า และแม้ว่าจะกันน้ำกันเหงื่อ แต่เช็ดออกง่ายมากด้วย Make Up Remover
SRICHAND
หากพูดถึงเครื่องสำอางแบรนด์ไทย จะมีอยู่แบรนด์หนึ่งที่อยู่คู่คนไทยมานานมาก ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2491 พอลองนับ ๆ ดูแล้ว ก็คืออยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณย่าคุณยายยังสาวเลยก็ว่าได้ และแบรนด์ที่ว่านี้ก็คือ Srichand ปัจจุบันบริหารโดย บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด โดยผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อตั้งแต่ยุคเมื่อประมาณ 70 กว่าปีก่อน คือ “ผงหอมศรีจันทร์” ที่ได้รับความนิยมมากในหมู่คนไทยสมัยนั้น มีสรรพคุณในการรักษาผิวหนังให้สบาย แก้เม็ดผดผื่นคันตามผิวหนัง พุพอง เป็นแผลเปื่อยคันในร่มผ้า ตุ่มยุงกัดมดกัด ทาแก้ร้อนตามผิวหนัง ป้องกันโรคผิวหนัง ซึ่งใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ก็เพราะว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่มานานนี่แหละ จึงทำให้ศรีจันทร์เกือบหลับไปพักหนึ่ง แต่ก็กลับมาได้อย่างปัง
เพราะภาพลักษณ์เดิมของศรีจันทร์ เป็นแบรนด์ที่ดูจะเจาะตลาดกลุ่มผู้ใหญ่เสียมากกว่า เลยดู “เชย” เกินไปสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่จะพกผลิตภัณฑ์ของศรีจันทร์ใส่กระเป๋าไปอวดเพื่อน เป็นเหตุให้ศรีจันทร์ลงพื้นที่ศึกษาและวิเคราะห์ตลาด เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภค และประกาศรีแบรนด์ ในปีพ.ศ. 2557 จากนั้นก็มีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดมากมาย ทั้งแป้งผสมรองพื้น รองพื้น คุชชั่น อายไลเนอร์ บลัชออน ครีมกันแดด ลิปสติก สกินแคร์ รวมถึงมีแบรนด์ลูกอีกหลายแบรนด์ จึงถือได้ว่าเป็นอีกแบรนด์ที่เข้าใจผิวคนไทยเป็นอย่างดี
สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวปังของศรีจันทร์ หลายคนอาจนึกถึง Srichand Bare to Perfect Translucent Powder เป็นแป้งฝุ่นโปร่งแสงเนื้อละเอียด สัมผัสนุ่มบางเบา แถมยังคุมมันได้นาน 12 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะศรีจันทร์เขามีจุดขายที่แป้ง (ผงหอม) อยู่แล้ว แต่ตัวที่อยากจะอวยมาก ๆ ก็เป็นแป้งเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ใช่แป้งที่ใช้กับหน้า เป็นแป้งที่ใช้กับผม Srichand Perfect Hair Powder แป้งโรยผมโปร่งแสงกลิ่นหอม ดูดซับความมันบนเส้นผมได้เยี่ยมมาก ๆ สำหรับใครที่ขี้เกียจสระผม หรือตื่นสายสระไม่ทัน แป้งกระป๋องม่วงนี่สามารถซักแห้งผมคุณได้ในพริบตา แถมไม่ทิ้งคราบข่าวไว้บนเส้นผมหรือหนังศีรษะด้วย แค่โรยที่โคนผมแล้วเกลี่ย ๆ ยี ๆ ให้ทั่วหัว ก็ช่วยให้ออกจากบ้านได้มั่นใจขึ้นแล้ว
4U2
ใครที่เข้าร้านขายเครื่องสำอางบ่อย ๆ น่าจะเคยได้แวะลองดูผลิตภัณฑ์ของ 4U2 สักตัวอย่างแน่นอน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างมากที่ดึงดูดใจให้ต้องแวะไปลอง โดยเฉพาะ “สี” และ “แพ็กเกจจิ้ง” ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า 4U2 เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากสหรัฐอเมริกา เริ่มวางขายในเมืองไทยปีพ.ศ. 2545 และเริ่มต้นธุรกิจด้วยการร่วมลงทุนกับต่างชาติ แต่เมื่อบริษัทขาดทุน ผู้ถือหุ้นต่างชาติถอนการลงทุนออกไป โดยปัจจุบัน 4U2 บริหารงานโดย บริษัท โฟร์ยูทู โค จำกัด
จึงเชื่อได้เลยว่าสาว ๆ สายคลั่งลิปสติกทุกคน น่าจะต้องเคยโดนลิปรุ่นต่าง ๆ ของ 4U2 ตกกันมาบ้างแหละ เพราะว่า 4U2 เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่องของเมกอัปที่มีสีสันสดใส ส่วนใหญ่จะเป็นสีพาสเทลไม่ค่อยจัดจ้าน มันเลยดูมินิมอล น่ารักปุ๊กปิ๊กดี อย่างพวกลิปสติก ลิปกลอส ทินต์ บลัชออน ไฮไลต์ อายแชโดว์ มาสคารา เขียนคิ้ว แต่พวกรองพื้น แป้ง คุชชั่น หรือกันแดด อะไรแบบนี้เขาก็มีเหมือนกัน บางตัวใช้ดีด้วย และมักจะตกคนด้วยแพ็กเกจจิ้งน่ารัก ๆ ดูทันสมัย แบบว่าดูเหมาะสำหรับทุกวัย นี่คือจุดขายสำคัญที่ทำให้ 4U2 เหมาะที่จะเป็นเครื่องสำอางที่สาว ๆ สามารถพกใส่กระเป๋าไปอวดเพื่อนได้ เพื่อให้เพื่อนถามว่า “นี่ของแบรนด์อะไรเนี่ย น่ารักจัง”
ซึ่งก็ไม่แปลกที่หลายคนจะโดนลิปสติกของ 4U2 ตกเอา เพราะเจ้าของแบรนด์เขาสำรวจตลาดมาแล้วว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่าลิปสติกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการแต่งหน้า คือต่อให้แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางชิ้นอื่นไม่ทันแล้วจำใจต้องรีบออกจากบ้านทั้งที่หน้าสด ก็ขอแค่มีลิปสติกสีสวย ๆ สักแท่งก็จบแล้ว ออกจากบ้านได้ นั่นทำให้ผู้หญิงตัดสินใจซื้อลิปสติกง่ายกว่าซื้อเครื่องสำอางชิ้นอื่น ทางแบรนด์ก็เลยพยายามชูให้ลิปสติกเป็นจุดขายที่โดดเด่นของแบรนด์ โดยมีเป้าหมายว่าจะทำลิปสติกที่มีคุณภาพและราคาไม่แพงออกสู่ตลาด
และอีกกลยุทธ์ที่ทำให้ลิปสติกของ 4U2 ปังอย่างที่เห็นก็คือ การทำให้สินค้ามีสีสันหลากหลายและเนื้อสัมผัสหลายแบบ ลิปแต่ละรุ่นของ 4U2 มีสีเยอะมาก เลือกไม่หวาดไม่ไหว (ถ้าเลือกไม่ได้ก็ซื้อมาหมดนั่นแหละ) ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้หญิง ที่ได้ยืนเลือกเครื่องสำอางหลากหลายสีสันจนกว่าจะเจอสีที่ชอบ สีที่ใช่ และเข้ากับตัวเองมากที่สุด เพราะฉะนั้น ผลิตภัณฑ์น่าอวยของ 4U2 ก็หนีไม่พ้นลิปสติก ที่ชอบมาก ๆ และชอบเกือบทุกสีที่มี คือรุ่น 4U2 BETTER HALF DUO LIP เป็นลิปแท่งแบบ 2in1 ด้านสีเป็นลิปแมตต์ (ที่มีให้เลือกตั้ง 18 สี) ที่แค่ทาเสร็จก็สวยจึ้ง ส่วนอีกด้านเป็นเนื้อกลอสใส ที่สามารถทาทับด้านแมตต์ได้เลยโดยไม่ต้องรอเซตตัว เคลือบปากให้เงาฉ่ำ อิ่มน้ำ พร้อมล็อกสีลิปให้ติดทน ซึ่งก็อยู่ทนจริง ๆ นะ แค่อาจจะดรอปลงหน่อยหลังกินข้าว ซึ่งมันก็เป็นปกติ
Meilinda
เมลินดา คือเครื่องสำอางแบรนด์ไทยอีกแบรนด์ที่ตกคนได้ด้วยแพ็กเกจจิ้ง มันเป็นความประทับใจแรกที่ทำให้เราแวะดูได้โดยไม่รู้ตัว พูดง่าย ๆ ก็คือ สินค้าของเขาทุกตัวมันสามารถดึงดูดให้เราเดินเข้าไปดูและหยิบตัวเทสต์ขึ้นมาทดลองใช้มาก ๆ เหมือนโดนสะกดจิตไม่มีผิดเลย แล้วก็ลองแบบสนุกสนานมากด้วยนะ เพราะหมวดหมู่สินค้าของเขามีหลากหลาย ตั้งแต่เมกอัป ที่มีครบแบบแต่งเสร็จทั้งหน้าให้สวยเป๊ะด้วยผลิตภัณฑ์ของเมลินดาได้เลย ทั้งแต่งตา คิ้ว ริมฝีปาก ใบหน้า อุปกรณ์แต่งหน้าอื่น ๆ ก็มี มียันขนตาปลอม กาวติดขนตาปลอม กบเหลาดินสอเขียนคิ้ว ที่ดัดขนตา และมีดโกนกันคิ้วเลย
โดยเมลินดา เป็นแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทย ภายใต้การบริหารของ บริษัท เอ็ม. ดี. อินเตอร์เนชั่นแนล คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2542 ด้วยความปรารถนาที่อยากจะให้สาวไทยได้ใช้เครื่องสำอางคุณภาพแบบเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่สามารถจ่ายได้ในราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์ ทำให้จนถึงปัจจุบัน เมลินดาจึงกลายเป็นแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทยแบรนด์หนึ่งที่สามารถครองใจลูกค้าได้ทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยผู้ใหญ่ เพราะผลิตภัณฑ์ของเขาหลากหลาย อยากได้อะไรก็แวะเข้าทดลองใช้ ไปเลือกสีเอาเลย แถมยังมีรางวัลต่าง ๆ การันตีอีกมากมายด้วย
สำหรับผลิตภัณฑ์ของเมลินดาตัวที่ลองใช้แล้วรู้สึกชอบ ประทับใจ คือ Meilinda The Shading Stick และ Meilinda The Lighting Stick มันคือคอนทัวร์และไฮไลต์เนื้อครีมแบบแท่งที่จริงใจมาก ตัวคอนทัวร์คือทำดีทำถึง สร้างเงาและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็ก โดดเด่น มีมิติ ส่วนไฮไลต์ก็ให้งานผิวฉ่ำ เน้นจุดเด่นบนใบหน้าให้ดูโดดเด่นและสว่างขึ้น เสริมมิติและความเปล่งประกายให้กับใบหน้า ด้วยชิมเมอร์เนื้อละเอียดแบบสวยสู้แสง เจอแดดแล้วดูผิวโกลว์วิบวับแวววาวแต่ไม่โป๊ะ เพราะมันไม่เป็นคราบ ที่สำคัญคือใช้ไม่ยากเลยแม้ว่าจะเป็นมือใหม่ก็ตาม เปิดคลิปในยูทูบดูเอาก็ได้ว่ามันควรจะแต้มตรงส่วนไหนของหน้าบ้าง หรือจะเข้าเว็บไซต์ของเมลินดา เขาก็มีไกด์ให้อยู่นะ แต้มเสร็จก็เกลี่ย ๆ ให้มันเนียน แล้วคือเกลี่ยง่ายมาก แต่งหน้าออกมาสวยฉ่ำในราคาหลักร้อย ตัวคอนทัวร์มีให้เลือกด้วยกัน 3 เฉดสี ส่วนไฮไลต์มี 2 เฉดสี อยากรู้ว่าหน้าของตัวเองต้องใช้เฉดไหน แนะนำให้ไปลองตัวเทสต์ก่อน
Her Hyness
ได้ยินชื่อครั้งแรก ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเฮอ ไฮเนส จะเป็นเครื่องสำอางสัญชาติไทยที่ปลุกปั้นขึ้นมาด้วยมือของคนไทยนี่เอง เพราะเอาจริง ๆ แค่ชื่อแบรนด์ก็สัมผัสได้ถึงความพรีเมียมในระดับหนึ่งแล้ว และยิ่งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปเดินตามร้านขายเครื่องสำอางบ่อย ๆ แล้วเห็นชั้นวางสินค้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์นี้ ก็จะเห็นว่าแพ็กเกจจิ้งของแบรนด์นี้นั้นดูดี เรียบแต่หรูหรา คือถ้าไม่แวะเข้าไปดูราคาขายล่ะก็ อาจจะอนุมานไปเองว่าต้องเป็นแบรนด์ต่างประเทศราคาแพงหูฉี่แน่ ๆ (จริง ๆ ก็แพงแหละ แต่พอเอื้อมถึงได้) ที่สำคัญคือมันดูสวย ทันสมัย แบบว่าน่าซื้อมาวางประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งจริง ๆ!
สำหรับข้อมูลคร่าว ๆ ของเจ้าของแบรนด์เฮอ ไฮเนส เธอเป็นถึงอดีตผู้บริหารเครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง L’Oréal และ Estée Lauder มาก่อน ในขณะที่หน้าที่การงานกำลังไปได้สวย เธอกลับลาออกเพื่อมาทำแบรนด์ของตัวเองในปีพ.ศ. 2559 ในนามบริษัท เมซัน รอเยล จำกัด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสกินแคร์ที่อ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว เพื่อสร้างสมดุลผิวให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เฮอ ไฮเนส อาจเป็นแบรนด์ที่ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลาย ๆ แบรนด์ข้างต้น ทว่าเพราะตัวผลิตภัณฑ์มันสามารถขายได้ด้วยตัวมันเอง จากคุณภาพที่พิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพธ์อย่างประจักษ์ ทำให้ผู้ใช้บอกต่อกันแบบปากต่อปาก ดังนั้น ต่อให้ตัวเลขจะสูงเกือบเทียบเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่คนก็พร้อมจะซื้อ
ส่วนถ้าถามว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นไหนของเฮอ ไฮเนส ที่ใช้ดีแบบต้องอวย ขอมอบมงให้ตัวครีมกันแดด HER HYNESS Royal Hya Water Sunscreen SPF 50+ PA++++ เป็นกันแดดเนื้อน้ำที่เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จุดเด่นของมันคือ เนื้อบางเบาเป็นพิเศษ ไม่เหนียวเหนอะหนะ เบามากเหมือนไม่ได้ทา แถมไม่ทิ้งคราบขาว ๆ ให้โป๊ะ พร้อมให้ประสิทธิภาพในการกันแดดเมืองไทยสูงสุด อีกทั้งยังอ่อนโยน ไม่อุดตัน ไม่ทำให้เกิดสิว และไม่มีสารกันแดดเคมีที่ระคายเคืองต่อผิว เชื่อแล้วว่าเป็นครีมกันแดดที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับอากาศประเทศไทย และตอบโจทย์ผิวคนไทยโดยเฉพาะจริง ๆ
Dr.Pong+
ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย จนกระทั่งเห็นคอนเทนต์ตลก ๆ ที่เป็นไวรัลบนอินเทอร์เน็ตที่แบรนด์ทำขึ้นมาเล่นตัวเอง ล้อเลียนไปกับชื่อแบรนด์ที่ลูกค้าตั้งให้ หรือก็คือชื่อที่คนชอบอ่านชื่อแบรนด์ผิดนั่นแหละ จากดอกเตอร์พงศ์ (Dr.Pong) เป็นดอกเตอร์โป่ง โป้ง ปอง ป่อง ป้อง ป๋อง พอง แม้แต่พ่องก็ยังมา ผง ก็เห็นแว่บ ๆ พงษ์พัฒน์ก็มีเหมือนกัน (มาจาก Pong และมีเครื่องหมาย + ติดมาด้วย) คือยังไงคนก็ไม่ยอมเรียกพงศ์สักที หมอพงศ์แกเลยท้อแท้จัด ตัดพ้อว่าจะทำยังไงดีให้ลูกค้าเรียกชื่อแบรนด์ให้ถูก (ซึ่งลูกค้าบอกว่ายาก ให้เปลี่ยนชื่อแบรนด์เถอะ) จึงเกิดเป็นคอนเทนต์ฮา ๆ ที่ทางแบรนด์ขอเคลียร์ใจให้ชัด ๆ ว่าชื่อแบรนด์นั้นอ่านว่า “ดอกเตอร์พงศ์”
ดอกเตอร์พงศ์ เป็นแบรนด์ที่ขายสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้าเพื่อความสวยความงาม ส่วนใหญ่จะเป็นเวชสำอาง ทั้งอาหารเสริม สกินแคร์ เครื่องสำอาง และ beauty gadget อื่น ๆ ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ตลาดและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ ส่วนชื่อแบรนด์ดอกเตอร์พงศ์ ก็มาจากชื่อของหมอพงศ์ นายแพทย์ยุวพงศ์ สุทธินันท์ คุณหมอผู้ก่อตั้งบริษัท เฟิร์สคลาส อินโนเวชั่น จำกัด ในปีพ.ศ. 2559 ในช่วงแรก ดอกเตอร์พงศ์เป็นแบรนด์ที่เน้นขายสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น เสื้อดามหลัง ผ้ารัดเข่าเสริมแกนสปริง เข็มขัดพยุงหลัง ภายใต้แบรนด์ SIAM COMFORT จนกระทั่งต่อมาที่โลกได้รู้จักกับโรค COVID-19 ดอกเตอร์พงศ์ก็ออกสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในช่วงนั้น คือ หน้ากากอนามัยลดสิว ที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวจากการสวมหน้ากากอนามัยนาน ๆ ในช่วงโรคระบาด
และหลังจากนั้นมา หมอพงศ์แกก็แตกไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพและความงามออกมาอีกมากมายแบบครอบจักรวาล มีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่เส้นผมไปจนจรดปลายเล็บเท้า เรียกได้ว่าสามารถใช้สินค้าของหมอพงศ์ได้ทั้งตัว แล้วแต่ละตัวก็รีวิวจึ้งอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่สินค้ายอดฮิตของแบรนด์จะเป็นเซรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีให้เลือกมากมายหลายสูตร เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ตรงจุดและตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวที่หลากหลาย แต่ยังคงเป็นมิตรกับผิวบอบบางแพ้ง่าย
และแม้ว่าเซรั่มของหมอพงศ์จะมีตัวดังตัวฮิตที่เป็นตำนานอยู่หลายสูตร แต่ตัวแรกที่ลองเปิดใจลองใช้แล้วค่อนข้างอึ้งในผลลัพธ์มากคือ Dr.PONG 15C ANTIOXIDANT VITAMIN C SHAKE SHAKE SERUM มันเป็นเซรั่มวิตามินซี L-Ascorbic เข้มข้นสูง 15% แบบผสมสด ใครที่มีปัญหาหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอต้องลอง ช่วยให้รูขุมขนแลดูกระชับ รอยดำ รอยสิวดูจางลง ที่สำคัญคือหน้าดูเรียบเนียนขึ้นและดูกระจ่างใสขึ้นแบบสังเกตเห็นได้จริง ๆ เลยด้วย แต่ด้วยความเป็นวิตามินซีผสมสดและไม่ได้ใส่น้ำหอม ตัวเซรั่มก็อาจจะมีกลิ่นแรงนิดนึง แต่ส่วนตัวไม่มีปัญหา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นข้อเสียที่ต้องหักคะแนนด้วย เปิดใจลองใช้แบบไม่คาดหวัง ทว่าดีกว่าที่คิดไว้เยอะ
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เคยได้ลองใช้เอง แล้วเห็นผลลัพธ์ว่าใช้แล้วดีจริง มีหลายตัวที่ยังคงใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง แต่หลายตัวอาจจะงดใช้ชั่วคราวเนื่องจากไม่ได้มีปัญหาหรือความจำเป็นที่จะต้องใช้ต่อ แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาอีกครั้งก็จะหันกลับไปใช้ซ้ำแน่นอน เหนืออื่นใด ก็น่าจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวหรือธรรมชาติของแต่ละคนด้วยว่าจะได้ผลลัพธ์เหมือนกันหรือเปล่า