สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายนกำลังจะผ่านพ้นไป แต่ไหงซีรีส์ปล่อยใหม่กลับมีแค่เรื่องสองเรื่องเอง ก็นะ เท่าที่ดูตารางฉายซีรีส์ใหม่ ก็เห็นว่าไปกองกันอยู่ช่วงตั้งแต่กลางเดือนเป็นต้นไปยาวไปจนถึงปลายเดือน แต่นี่ต้องทำคอลัมน์ทุกสัปดาห์ไง มันเลยรู้สึกว่าขาดแคลนซีรีส์ไปหน่อย ไม่ค่อยมีตัวเลือกให้เลือก ซึ่งพอมาคิดดูดี ๆ มันก็ไม่มีอะไรสมดุลเลยนะ ช่วงที่ไม่มีก็ไม่มีเลย ส่วนช่วงที่มีเยอะก็เยอะมากจนเลือกไม่ถูก เสียดายที่ต้องปล่อยทิ้งไปหลายเรื่อง
ถึงอย่างนั้นสัปดาห์นี้ก็ยังมีซีรีส์เรื่องใหม่แกะกล่องให้ได้ดูแหละนะ ดูแค่โปสเตอร์ใบปิดก็รู้แล้วว่าเน้นขายขำแน่ ๆ ที่สำคัญยังได้เจ้าบ่าวป้ายแดงอย่าง คิมดงอุค มาเป็นพระเอก (หรือตัวละครนำไม่แน่ใจ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีนางเอก) ด้วย เขาคนนี้รับงานได้น่าสนใจมาก ถ้าไล่ดูผลงานเขาในช่วง 3-4 ปีมานี้ คาแรกเตอร์เขาไม่ซ้ำกันเลย โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่โดดมาเป็นแนวคอมเมดี้เฉย
Seoul Busters ซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวน อาชญากรรม พ่วงด้วยคอมเมดี้ เล่าถึงความห่วยแตกของทีมอาชญากรรมร้ายแรง หน่วย 2 ของสถานีตำรวจซงวอน ทีมสืบสวนที่มีอัตราการจับกุมเป็นอันดับรั้งท้ายของประเทศ ลงภาคสนามจับคนร้ายเมื่อไรมีอันต้องคว้าน้ำเหลวตลอด ห่วยระดับที่หัวหน้าทีมคนไหนก็เอาไม่อยู่ เมื่อทีมจับคนร้ายไม่ได้ หัวหน้าก็ต้องรับผิดชอบโดนเด้งไปตามระเบียบ ในที่สุดก็เหลือเพียงสมาชิกในทีม 4 หน่อที่โดนเด้งเหมือนกัน แต่ดีหน่อยตรงที่โดนเด้งจากโต๊ะทำงานเก่าในตึกใหญ่ของสถานี มาอยู่ที่ที่ทำการชั่วคราวแห่งใหม่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ซึ่งอาคารใหม่นี้ เดิมเป็นศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่เจ๊งไปแล้ว และรอหัวหน้าทีมคนใหม่เข้ามาเป็นผู้บังคับบัญชา
ในระหว่างที่ทีมนี้กำลังทำคดีการเสียชีวิตปริศนาของชายคนหนึ่ง หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ชายหนุ่มแปลกหน้ากลับบอกว่าเป็นการฆาตกรรม ก่อนที่เขาจะโดนเนรเทศออกจากสถานที่เกิดเหตุ เขาก็เฉลยว่าตัวเองคือหัวหน้าทีมคนใหม่ที่ทุกคนกำลังรออยู่ การทำคดีแรกร่วมกันของทุกคนเป็นไปแบบทุลักทุเล เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อใจกัน มีอคติต่อกัน โดยเฉพาะเหล่าสมาชิกในทีมที่เอาแต่ตั้งแง่ใส่หัวหน้าทีมคนใหม่ แต่พอร่วมกันสืบคดีไปเรื่อย ๆ เริ่มได้ทำงานใกล้ชิดกัน เข้าขากัน ได้เรียนรู้จากคำสอนของหัวหน้าทีมคนใหม่ซึ่งเป็นวิธีที่พวกเขารู้สึกว่ามันประหลาด และตัวหัวหน้าทีมก็ดูแปลกผู้แปลกคนไปสักหน่อย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สมาชิกในทีมนี้ก็ไม่มีใครปกติเลยสักคน หัวหน้าทีมคนใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของกรมตำรวจ สมบูรณ์แบบทั้งความเฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตา และความสามารถด้านกีฬา แต่เขาเป็นคนแปลก ๆ คิดอ่านหรือทำอะไรที่ไม่เหมือนคนปกติธรรมดา อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนที่เก่งมากขนาดที่ได้รับข้อเสนอให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่เขากลับเลือกที่จะเดินทางกลับเกาหลีเพื่อมาสมัครเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนคดีอาชญากรรม หน่วย 2 ของสถานีตำรวจซงวอน หน่วยงานที่จับคนร้ายได้ห่วยแตกที่สุดในเกาหลี
ส่วนสมาชิกคนอื่นอีก 4 คน ไล่ตามความอาวุโส คือ อดีตนักมวยทีมชาติเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกที่กรีซ ปัจจุบันผันตัวมาเป็นตำรวจ บุคลิกเขาดูเหมือนโจร แถมยังอ่อนหัดเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ อดีตนักกีฬาแม่นปืนที่ใฝ่ฝันอยากไปโอลิมปิก แต่ต้องกลายมาเป็นตำรวจเพื่อเลี้ยงดูภรรยาและลูกสาวอีก 4 คน เขาหมกมุ่นอยู่กับการสะสมแต้มร้านอาหาร และตามหาของเล่นที่ลูก ๆ อยากได้ สายสืบหญิงคนเดียวในทีม เธอเจ้าอารมณ์ หัวร้อน ขี้โวยวาย และซกมก แต่ถ้าเธอใส่เกียร์หมาไล่จับคนร้ายเมื่อไรล่ะก็ วิ่งแซงคนร้ายอีก และสายสืบน้องเล็กสุดของทีมที่เด๋อด๋า ซุ่มซ่าม เจ้าพ่อจังหวะซิตคอม เขาคือคนที่ดูเหมือนจะพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็ไฟแรงและแอบซ่อนความไม่ธรรมดาเอาไว้
การทำงานร่วมกันของทีมสายสืบที่ทุกคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป ดูภายนอกอาจจะดูไม่เอาไหน ติดเล่น พึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่เวลาทำงานก็จริงจังและทุ่มเท โดยที่หัวหน้าใหม่เองก็มองเห็นข้อดีที่ซ่อนอยู่ในตัวของแต่ละคนด้วยเช่นกัน ที่สำคัญ ลูกน้องทั้ง 4 นี่ก็เน้นขายขำผลัดกันปล่อย ผลัดกันชงมุกอย่างกับเล่นคาเฟ่ ส่วนตัวหัวหน้าเองก็มีความฮาหน้าตาย แต่โชคดีที่ตัวเขาเป็นทรัพยากรระดับมันสมอง มองคนขาด ช่างสังเกต และเชี่ยวชาญเรื่องการคิดวิเคราะห์ ไม่มีข้อสงสัยเลยสักนิดเกี่ยวกับโปรไฟล์ของเขา พร้อมที่จะลงงานภาคสนามร่วมกับลูกน้องทุกคน
เวลาทำคดี พยายามแยกแยะอารมณ์ให้ได้มากที่สุดครับ คนเลวบริสุทธิ์ คนดีเป็นคนผิด มีให้เห็นเยอะแยะ เวลาคนเราจับเสือ เรียกว่าล่า แต่เวลาเสือจับคน เรียกว่าเหตุสลดครับ มุมมองจะเปลี่ยนธรรมชาติของสถานการณ์
นี่คือบทเรียนแรก ๆ ที่หัวหน้าทีมคนใหม่สอนสาวหัวร้อนที่กำลังเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปผูกพันกับคดี จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะที่เธอจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสารเหยื่อ เพราะผู้ตายในคดีนั้นมีพื้นหลังที่น่าสงสารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และดันมาถูกฆ่าตายอีก แต่การเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีที่ยังไม่คลี่คลาย มันก็เป็นความลำเอียงอย่างหนึ่งเหมือนกัน มันจะทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็น หรือมโนว่าเห็นอะไรไปเรื่อยทั้งที่มันไม่มีอยู่จริง ในสถานการณ์แบบนี้จึงต้องพยายามมองให้เป็นกลางมากที่สุด และตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไปให้มากที่สุด
พื้นเพเดิมของทีมนี้ก่อนที่จะมีหัวหน้าคนใหม่เข้ามาคุมทัพ ทำงานแบบเอาความคิดและลางสังหรณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้งซะส่วนใหญ่ (ยังไม่นับรวมความโบ๊ะบ๊ะติดฮา ผลัดกันปล่อยมุกฉ่ำนะ 555) ถึงมีอัตรการจับกุมคนร้ายต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทำงานพังแล้วพังอีก คนร้ายอยู่แค่เอื้อมก็ทำเสียเรื่องจนจับไม่ได้ ก็เลยไม่ได้แปลกใจเท่าไรที่จะถูกอัปเปหิจากตึกใหญ่ของสถานีให้ลงมาอยู่ที่ที่ทำการชั่วคราวที่เป็นศูนย์รับเลี้ยงเด็กเก่าที่ถูกปล่อยเช่าราคาถูก ในห้องทำงาน ห้องประชุมล้วนมีแต่ของเล่นเด็ก แม้แต่ห้องน้ำยังต้องเข้าห้องน้ำเด็กกันเลย จะว่าไปมันก็มองเป็นสัญลักษณ์ได้อยู่ ว่าการทำงานของทีมอาชญากรรมร้ายแรงทีมนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับการเล่นตำรวจจับผู้ร้ายของเด็ก ๆ เลย
อย่างในคดีแรกที่เปิดตัวหัวหน้าทีมคนใหม่นี้ ตอนที่พวกเขายังสืบคดีกันเอง พอเห็นสถานที่เกิดเหตุกับพฤติการณ์ที่ตายของเหยื่อปุ๊บ ก็รีบด่วนตัดสินทันทีว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ยังไม่ทันได้ตรวจสอบหลักฐานหรือรอผลการชันสูตรพลิกศพด้วยซ้ำ ซึ่งการ “สันนิษฐาน” ว่าฆ่าตัวตายนั้น ตำรวจสามารถทำได้ มันเป็นเรื่องปกติ แต่การที่เดินออกมาจากที่เกิดเหตุแล้วบอกว่า “แค่ดูก็รู้” ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย มันเท่ากับฟันธงลงไปแล้วว่าคำตอบต้องเป็นแบบนี้ มันเท่ากับว่าปิดรับความเป็นไปได้อื่นไปโดยปริยาย โชคดีที่โดนเบรกก่อน ถึงได้เริ่มเปิดการสืบสวนแบบรับทุกความเป็นไปได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนหัวดื้อ จนกระทั่งผลชันสูตรศพออกมาชัด ๆ ว่าเป็นการฆาตกรรม
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่สำคัญ คือ สายตาที่จะใช้ในการมองทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดี อย่าดูถูกจิตใจของมนุษย์ ว่าคนเลวคือคนเลวบริสุทธิ์อย่างเดียว หรือคนดีคือพ่อพระแม่พระเสมอไป คนเลวทำดี คนดีทำผิด มีให้เห็นถมเถ และอย่าหลงกลกับอะไรก็ตามที่มัน “แสดง” ได้ แต่ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ถึงจะเจอรายละเอียดที่คาดไม่ถึง ยิ่งเจอรายละเอียดใหม่ ๆ ก็จะยิ่งปะติดปะต่อความเป็นไปของคดีให้เป็นเส้นที่ยาวขึ้น แค่เปลี่ยนมุมมอง ก็จะเห็นภาพเหตุการณ์เดียวกันในแบบที่แตกต่างออกไปแล้ว ซึ่งที่พล่ามมาทั้งหมดนี่ไม่ได้มีความรู้อะไรหรอกนะ เรียนรู้มาจากตัวละครหัวหน้าทีมนั่นแหละ ก็หวังว่าลูกทีมทีมนี้จะเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้างจากการทำงานร่วมกันกับคนเก่งอย่างเขา
ไม่ได้แกร่งไร้เทียมทานเท่าไรครับ แต่ว่า พวกคุณมีเสน่ห์อยู่นะครับ
ถ้าเป็นหัวหน้าทีมเรื่องอื่น เจอลูกทีมแบบนี้เข้าไปน่าจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเลยนะว่าไหม ยิ่งถ้าเป็นคนที่ถูกย้ายมาแบบที่ไม่ได้เต็มใจจะมา แล้วมาเจอลูกน้องทิฐิสูงแถมอวดดีขนาดนี้ คงพยายามทำเรื่องขอย้ายกลับแล้วล่ะ แต่ซีรีส์เรื่องนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะพระเอกจงใจขอสมัครมาทำงานภาคสนามร่วมกับทีมนี้เอง โดยที่เขาก็รู้ว่านี่เป็นทีมที่จับกุมคนร้ายห่วยแตกที่สุดในประเทศ และทั้งที่เขามีโพรไฟล์หรูหราหมาเห่าขนาดนั้น ก็ยังเลือกที่จะมาทำงานอยู่กับทีมที่สิ้นหวังเบอร์นี้อยู่อีก มันก็น่าคิดนะว่าเขามีเหตุผลอะไรเป็นการส่วนตัวถึงทำแบบนี้
แล้วถ้าใครสงสัยว่าโพรไฟล์ของพระเอกเลิศหรูแค่ไหนนะ เปิดดูอีพีแรกนาทีแรกก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพตำรวจมากขนาดไหน แต่กลับทิ้งความสำเร็จทุกอย่างกลับมาเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนง่อย ๆ ที่มีฝีมือระดับรั้งท้ายของประเทศ แต่ไม่เป็นไร คนแบบเขานี่แหละที่จะพลิกสถานการณ์ ทำให้ทีมสุดห่วยครองตำแหน่งบ๊วยนี้ก้าวขึ้นสู่ทีมอันดับท็อปของประเทศแทน
ด้วยความที่เป็นงานสืบสวนที่เน้นขายขำชูความตลกขบขัน ควบคู่ไปกับลีลาการสืบคดีของตำรวจสายสืบที่ไม่ปกติเลยสักคน ตั้งแต่หัวหน้าทีมที่เป็นคนเก่งแต่ก็เป็นคนแปลกไปพร้อม ๆ กัน และบรรดาลูกน้องที่ประหลาดไม่แพ้หัวหน้า เรื่องนี้เลยเป็นงานสืบสวนสอบสวนที่ดูง่าย ไม่เครียด แล้วก็ออกแนวไร้แก่นสารอยู่พอสมควร จากมุกตลกหลาย ๆ มุกที่ดูออกว่าจงใจยัดเยียดเข้ามา แต่สุดท้ายงานก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนะ แบบว่าแต่ละคนก็ได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรจากการทำงานร่วมกับคนที่ทำงานเป็นอย่างหัวหน้าทีม
แต่ไม่ว่าก่อนหน้านี้ลูกทีมของเขาจะไร้น้ำยาขนาดไหน เขาก็ไม่ได้เอามาตัดสินเลยทันทีจากการเจอหน้ากันครั้งแรก เขากลับพบข้อดีของแต่ละคนที่ถูกซ่อนเอาไว้ลึก ๆ ต่างหาก เขาจึงพยายามดึงเอาศักยภาพพวกนั้นที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนมาใช้ ดังนั้น เมื่อลูกทีมสาวเลือดร้อนถามเขาว่าคนเก่งอย่างเขาคิดยังไงกับทีมนี้ เขาถึงได้ตอบออกไปว่า “ไม่ได้แกร่งไร้เทียมทานเท่าไร แต่ว่าก็มีเสน่ห์ดี” ชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าจะมีลูกน้องเก่งหรือไม่เก่ง แต่เขาสนใจว่าจะดึงอะไรจากตัวลูกน้องขึ้นมาพัฒนาได้ เพื่อให้ทีมสืบสวนทีมบ๊วยทีมนี้กลายเป็นท็อปทีมขึ้นมาในอนาคต หลังจากได้ทำงานร่วมกับหัวหน้าทีมแบบเขา
ถ้าจะบอกว่า Seoul Busters ไม่สนุกก็น่าจะพูดโกหกแหละ เขามีวิธีการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม หยอดคำใบ้ช้า ๆ คลายปล่อยปมต่าง ๆ มาทีละนิดให้ดูน่าสนใจ แต่แอบขัดใจตรงมุกตลกไปหน่อยที่มองมาจากดาวอังคารก็ชัดเจนว่ายัดเยียด บางสถานการณ์ก็ดูบ้า ๆ บอ ๆ มันเลยดูตลกแบบตลาดไปหน่อยแต่มันก็ขำดีแหละ ถ้าถอดสมองดูช่วงเล่นมุกก็ได้อยู่ไม่มีปัญหาอะไร ค่อยใส่สมองเข้าไปใหม่ตอนที่เขาจริงจังเรื่องสืบคดีกัน ส่วนใหญ่เขาจะใส่มาให้คนดูได้เห็นไปพร้อมกับตัวละครเลย อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตเห็นหรือเปล่า
อีกอย่าง มันก็ทำให้เราได้คอยเอาใจช่วยว่าทีมอาชญากรรมร้ายแรง หน่วย 2 ของสถานีตำรวจซงวอน ว่าจะได้รับคดีใหญ่แบบไหนที่ท้าทายเซลล์สมองและความสามารถพิเศษของแต่ละคนในทีมที่ล้วนแล้วแต่เป็นพวกคมในฝัก แต่ไม่ค่อยจะยอมชักดาบออกจากฝักมาใช้ มีแค่หัวหน้าทีมที่เก่งมากแต่ไม่อวด ไม่พูดมากแต่ลงมือทำให้เห็นนี่แหละที่เป็นเดอะแบก ก็น่าจะต้องมีสถานการณ์บางอย่างมาเปลี่ยนแปลงพวกเขา และผลงานไหนที่จะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่การเป็นทีมสืบสวนชั้นนำของประเทศ ลบคำสบประมาทของทุกคน 🏆