4MINUTES จุดเริ่มต้นของอนาคต 4 นาทีมันคืออะไร

ภาพจาก viu

ทุกวันนี้เหมือนว่าชีวิตมาถึงจุดที่ต้องหันกลับดูซีรีส์ไทย เพราะดวงตาอ่อนล้าจนขี้เกียจจะอ่านซับซะแล้ว บางทีก็รู้สึกปวดตามาก ๆ เวลาที่ต้องเพ่งอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว คอลัมน์ในวันนี้จึงจะเป็นซีรีส์วายสัญชาติไทยเรื่องที่มีกระแสดังมาก ๆ ขนาดไม่ใช่คนที่อินอะไรกับซีรีส์วาย ยังพอจะเห็นข่าวนี้อยู่ตลอดตอนที่เขาประกาศสร้าง รวมถึงนักแสดงที่จะมาเล่นในเรื่องนี้

4MINUTES เป็น viu Original Series ที่ลงฉายทางดิจิทัลทีวีช่อง One31 ด้วย เป็นเรื่องราว “เกรท” นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ ทายาทคนที่ 2 ของนักธุรกิจใหญ่ที่มีทั้งธุรกิจในด้านสว่างและมุมมืด จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าตัวเองมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 4 นาที พลังนี้นำไปสู่ความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์หลายเรื่องในชีวิตของเขา แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเขายังไม่รู้ว่าพลังนี้มาจากไหน รวมถึงยังไม่สามารถควบคุมพลังในการมองเห็นนี้ได้ด้วย เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับพลังประหลาดที่เขาไม่รู้จัก จนกระทั่งได้พบกับ “ธาม” ศัลยแพทย์มือดีของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากได้ทำความรู้จักกัน เขาทั้งคู่ได้เริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์กัน

ปกติเป็นคนที่ไม่อินกับซีรีส์วาย แต่สามารถดูได้ ความรู้สึกกับเรื่อง 4MINUTES เราว่ามันมากกว่าการเป็นซีรีส์วาย (วายชนิดที่ว่าทำเอาใจคอบ่ดีเลย) ด้วยการผูกเรื่องและเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง ที่ทำเอาเราเดาอะไรไม่ได้เลย ซึ่งซีรีส์ไทยหรือละครไทยแบบนี้ไม่ได้หาดูได้บ่อย ๆ แม้ว่าจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่พอสมควรเวลาเจอฉากอย่างว่า (เข้าใจเนอะว่าฉากอะไร) แต่ซีรีส์เรื่องนี้มันชวนให้อยากติดตามต่อจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนในวังวนที่ดูเหมือนเชื่อมกันอยู่ ทำไมจู่ ๆ คนคนหนึ่งดันมองเห็นภาพในอนาคต และทำไมถึงต้องเป็น 4 นาทีด้วย จากที่จิ้มดูเรื่องนี้เพราะอยากดู พี่ “เจษ เจษฎ์พิพัฒ” กลายเป็นต้องมาตั้งทฤษฎีเดาทางว่าเกิดอะไรขึ้นในเรื่องนี้กันแน่

พ่อเคลียร์กับตำรวจให้หมดแล้ว โชคดีที่คนโดนชนไม่ตาย เมื่อไหร่แกจะเลิกหาเรื่องให้พ่อตามล้างตามเช็ดให้สักที

ขอสารภาพตามตรง ว่าทีแรกเกือบจะเลื่อนผ่านซีรีส์เรื่องนี้ไป แล้วเลือกซีรีส์ไทยอีกเรื่องใน viu เหมือนกันที่เพิ่งมาใหม่ตอนแรก โดยเรื่องนั้นจะเป็นแนวมิตรภาพและความรักของเด็กมัธยมใส ๆ สาเหตุหนึ่งก็เพราะอ่านเรื่องย่อของ 4MINUTES แล้วสะดุดกึกตรงที่ตัวละครหลักอย่าง “เกรท” เป็นนักศึกษาหนุ่มลูกคนมีเงินนี่แหละ พูดเลยว่าแทบจะไม่อยากอ่านเรื่องย่อนั่นต่อด้วยซ้ำ มันเหมือนว่าเราเห็นตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แบบนี้บ่อยมาก วนไปวนมาแทบทุกเรื่องทั้งซีรีส์ไทยและซีรีส์เกาหลี มันค่อนข้างน่าเบื่อที่เจอตัวละครลักษณะแบบนี้บ่อยเกินไป

ภาพจาก FB: Be On Cloud

แล้วด้วยอคติเนอะ ทีนี้มันก็ชวนให้เดาทางตัวละครตัวนี้ต่อว่าต้องเป็นหนุ่มทายาทเศรษฐีที่ทำตัวเพลย์บอยลอยชายไปมา สร้างความเดือดร้อนให้คนที่บ้านมาคอยตามล้างตามเช็ด คาแรกเตอร์แบบเด็กมีปัญหาที่ทำตัวหัวขบถ เพื่อเรียกร้องความสนใจไม่ก็อยากจะเอาชนะพ่อแม่ อะไรแบบนั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่าเพราะอยากดูหน้าหล่อ ๆ ของพิเจษ เลยเอาวะ ลองเปิดใจดูก่อน ถ้ามันฝืนความรู้สึกมากเกินก็ค่อยเทเอาทีหลังก็ได้ สุดท้ายเลยเลื่อนจอกลับขึ้นมาเปิดเรื่องนี้ดูในที่สุด

ภาพจาก FB: Be On Cloud

กลายเป็นว่าคาแรกเตอร์ของ “เกรท” ไม่ได้น่าหงุดหงิดใจเท่าที่เราคิดเอาเองในทีแรกเลย เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มลูกชายเศรษฐีที่มีชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองและทำตัวเอาแต่ใจเฉย ๆ แค่นั้นแหละ แต่ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไร ที่คาดการณ์ไว้ว่าเขาจะต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพี่ชายต่างแม่ ที่กำลังทำงานเป็นมือขวาให้พ่ออยู่ก็เดาผิดอีก พี่น้องคู่นี้ดูรักและเข้าใจกันดี มันเลยดูน่าสนใจขึ้นมาว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้พาตัวละครเดินบนเส้นทางซ้ำ ๆ ที่คาดเดาได้ง่าย เพราะฉะนั้น การดำเนินเรื่องก็น่าจะพอคาดหวังได้ว่าจะแตกต่างจากละครไทยหรือซีรีส์ไทยหลาย ๆ เรื่องได้

ภาพจาก FB: Be On Cloud

และจากประเด็นเปิด ที่พ่อของเกรทเอ็ดลูกชายคนเล็กว่าช่วยเลิกทำตัวสร้างแต่ปัญหาให้พ่อตามเก็บกวาดสักทีนั่น จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะหน่อยด้วย เขาแค่เป็นคนดวงซวยคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าพ่อไม่ช่วย เขาก็อาจจะตกเป็นจำเลยสังคมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด กรณีนี้ก็เลยแอบโล่งใจที่พ่อก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหมือนเดิม (แน่นอนว่าคนดูรู้ดีว่าที่พ่อยอมช่วย ไม่ใช่ว่ารักหรือเป็นห่วงลูกอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ป้องกันไม่ให้ปัญหามันลุกลามมาถึงตัวเองและธุรกิจผิดกฎหมายที่ตัวเองทำอยู่มากกว่า) ถึงแม้ว่าทีแรกเราจะไม่ค่อยปลื้มกับการออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวละคร “เกรท” เท่าไร แต่เพราะเขาไม่ใช่พวกเด็กเหลือขอที่ถูกเลี้ยงมาแบบผิด ๆ ตัวละครนี้และซีรีส์เรื่องนี้เลยน่าสนใจขึ้นมา

สิ่งที่มึงทำมันไม่ใช่การรักษานะ แต่มันคือการยืดความตายให้นานขึ้นไปอีก

ภาพจาก FB: Be On Cloud

นอกจากชอบหน้าหล่อ ๆ ของพิเจษ เอ๊ย! “หมอธาม” แล้ว ค่อนข้างชอบพาร์ตในโรงพยาบาลของซีรีส์เรื่องนี้นะ ดูไม่อึดอัดดี แล้วก็ชอบคาแรกเตอร์ป่วน ๆ ของ “หมอเด็น” ด้วย เห็นเป็นตัวก่อกวนขนาดนั้น แต่พอพี่แกเอาจริงขึ้นมาก็น่าเกรงขามพอตัวเลย และสิ่งที่เขาทำก็ถือว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของ “หมอธาม” เลยด้วย กับการที่กล้าเตือนเพื่อนในสิ่งที่เพื่อนทำไม่ค่อยถูกกาลเทศะ ตั้งแต่การเตือนว่าคนไข้ทุกคนมีชื่อ เป็นหมอเจ้าของไข้ก็ควรจะจำชื่อคนไข้ของตัวเองให้ได้ หรือการที่ทำให้คนไข้ทรมานมากกว่าเดิม แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับหมอที่ไม่ควรปล่อยให้คนไข้ตายไปต่อหน้า แต่การทำให้คนไข้ยังประคองชีวิตอยู่ได้แต่แบบทรมาน มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน

ภาพจาก FB: Be On Cloud

แต่พูดก็พูดเถอะ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ชวนลำบากใจแล้วก็ทำให้ลังเลสำหรับคนเป็นหมอเหมือนกัน คนไข้ที่ต้องการยุติการรักษา เพราะถึงจะยังหายใจอยู่แต่มันทรมาน ทรมานทั้งตัวเองและลำบากคนดูแลด้วย บางคนเขาก็อยากที่จะไปสบาย ๆ สักที เจ็บแต่จบ ทว่าหน้าที่หมอกลับต้องพยายามยื้อไว้ให้ถึงที่สุด จะปล่อยให้คนไข้ตายไปต่อหน้าเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ด้วย เป็นเรื่องที่ทำให้ลำบากใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่สิ่งที่ “หมอเด็น” พูดก็ไม่ผิด มันเป็นความประสงค์ของคนไข้ที่ไม่อยากจะรักษาต่อ เพราะรักษาต่อไปมันก็ไม่หาย ไม่ดีขึ้น แถมทรมานกว่าเดิม เขาก็อยากที่จะหมดลมหายใจไปตามธรรมชาติของเขา แต่หมอก็เข้ามายืดการตายให้ช้าลง และทรมานยาวนานขึ้น

ภาพจาก FB: Be On Cloud

เชื่อว่าเรื่องราวแบบนี้คงเกิดขึ้นบ่อยในโรงพยาบาลแหละ และหมอก็ต้องตัดสินใจเฉพาะหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย การตัดสินใจในลักษณะนี้คงไม่มีผิดมีถูก มีแต่จะช่วยเหลือคนไข้ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง เพราะคนที่มีหน้าที่รักษาชีวิตคนที่กำลังจะตาย กับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทรมานที่ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงได้เมื่อไร สถานการณ์มันต่างกัน ส่วนตัวก็ไม่รู้หรอกว่าหมอเขาต้องอ้างอิงเหตุผลอะไรบ้างเวลาที่ต้องตัดสินใจในกรณีแบบนี้ และก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร้องหาความตายเพื่อยุติความเจ็บปวด หรือเห็นคนที่เรารักทรมานจนถึงขั้นเรียกหาความตาย แต่ซีรีส์เรื่องนี้ได้สอดแทรกความรู้สึกแบบนี้เข้ามาให้ได้ฉุกคิด แม้ว่ามันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

ผมมีเงินนะ แต่ผมไม่เคยมีความสุขหรอก

อยากลองมีความรู้สึกแบบนี้บ้างจัง มีเงินแต่ไม่มีความสุขเนี่ย ทุกวันนี้ความสุขก็ไม่มี แต่เงินก็ไม่มีเหมือนกัน ดูไม่มีอะไรดีเลยคุณน้า 555 จะว่าไปนะ ฉากที่ตัวละครหลัก 2 คนมาแชร์กันถึงเรื่องความลำบากกับความสุขอะไรเนี่ย เหมือนมันเป็นตัวเปิดปมใหญ่ของเรื่องเลยแฮะ มันมีอะไรแปลก ๆ ในบทสนทนาที่ 2 คนนี้คุยกันบนรถ

ภาพจาก FB: Be On Cloud

ตามบทสนทนาประสาคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานนัก คนหนึ่งใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบกับยายมาแค่ลำพัง 2 คนเพราะพ่อแม่ตายหมด ดิ้นรนจะเป็นหมอให้ได้เพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีกว่า ส่วนอีกคนมีชีวิตที่มีเงินแต่ไม่มีความสุข พ่อแม่ที่รวยขึ้น สวนทางกับเวลาที่มีให้ลูกน้อยลง แค่จะแวะตู้คีบตุ๊กตาเล่นยังเป็นเรื่องเสียเวลา เลยคว้า ๆ เอาของเล่นอื่นแถวนั้นให้ลูกแทน แม้ว่ามันจะแพงกว่าการเล่นคีบตุ๊กตาหลายเท่าก็เถอะ

ภาพจาก FB: Be On Cloud

ถ้าให้เดา เหมือนว่าการที่ “หมอธาม” รุกเข้าหา “เกรท” อย่างรุนแรงและรวดเร็ว อาจจะมีเหตุผลปริศนาอย่างอื่น โดยเฉพาะเรื่องพ่อแม่ของหมอธามที่ตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก มันก็แปลก ๆ อยู่นะที่จู่ ๆ เขาเอามาแชร์ให้เกรทฟัง พร้อมทั้งเน้นถึงความลำบากที่เขาเติบโตมาพร้อมกับมัน ในขณะที่เกรทเองก็เพิ่งได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่กับพ่อและพี่ชาย หลังจากที่เมียคนแรกของพ่อฆ่าตัวตายไป เขาเองก็น่าจะไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเคยทำอะไรมาบ้าง ไม่รู้ว่าแม่ของพี่ชาย (เมียคนแรกพ่อ) ฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลอะไร เขาก็แค่ผู้อาศัยคนหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตแบบลูกชายเศรษฐีตั้งแต่นั้นมา

ภาพจาก FB: Be On Cloud

เหมือนจะมีคนคิดแบบเดียวกันกับเราหลายคนแหละ หลังจากที่ได้สแกนอ่านคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น ว่าชีวิตที่เติบโตมาแตกต่างกันของ “หมอธาม” และ “เกรท” รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ 2 คนนี้ต้องโตกันมาแบบที่ว่า อาจเป็นปมใหญ่ของซีรีส์เรื่องนี้ รวมถึงการผูกปมฆาตกรรมและศพปริศนา ปมธุรกิจมืดของพ่อเกรท ปมอาการเห็นอนาคตของเกรท และปม 4 นาที มันทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจมากกว่าการขายความวาย หรือขายฉากเซ็กซ์สุดเร่าร้อนแบบ 18+ นี่แหละที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงน่าติดตามตอนต่อ ๆ ไป สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับซีรีส์วายเท่าไรนัก😳