Doctor Slump กราฟชีวิตของ “หมอ” ก็ดำดิ่งถึงขีดสุดเหมือนกัน

ภาพจาก FB: JTBC Drama

11 ปีที่แล้ว (ปี 2013) จะบอกว่าดิฉันคือมนุษย์บ้าซีรีส์คนหนึ่งที่ติดซีรีส์เรื่อง The Heirs มาก ทั้งที่พล็อตเรื่องคือน้ำเน่าสุดอะไรสุด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกแบบที่พลาดไม่ได้สักตอน แถมยังต้องหาเปิดดูวนซ้ำไปซ้ำมาอีกตั้งหลายรอบ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ซีรีส์เรื่อง The Heirs มีความน่าสนใจจนตัดใจไม่ดูไม่ได้ก็คือ มันละลานตาไปด้วยชายหนุ่มมากมาย พระเอกก็หล่อ พระรองก็จะเอา เหล่าเพื่อน ๆ ในโรงเรียนของพระเอก-นางเอกที่งานดีทุกผู้ทุกนาม รุ่นพี่ พี่ชายพระเอก ฯลฯ เป็นเรื่องที่เปิดดูเมื่อไรก็รู้สึกว่ากำไรชีวิตจริง ๆ

ภาพจาก FB: JTBC Drama

หลายปีผ่านไป นักแสดงที่เล่นเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพระเอกและพระรองอย่าง พักฮยองชิก ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกเต็มตัว ส่วนนางเอกของเรื่องที่คอซีรีส์คนไทยเรียกเธอว่า “น้องผัก” อย่าง พักชินฮเย ยังคงเป็นนางเอกแถวหน้าของวงการ เพิ่มเติมคือแต่งงานแล้วและเป็นคุณแม่ลูก 1 วันนี้ทั้ง 2 นักแสดงจากเรื่อง The Heirs ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในซีรีส์เรื่อง Doctor Slump

ภาพจาก FB: JTBC Drama

Doctor Slump เป็นเรื่องราวหมอ 2 คนที่กำลังเผชิญหน้ากับกราฟชีวิตที่ดำดิ่งถึงขีดสุด ซึ่งมันสั่นคลอนพวกเขาในฐานะของ “หมอ” อย่างไรก็ตาม ในวันที่คน 2 คนเจอเรื่องตกต่ำในชีวิต พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะในอดีต ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนนักเรียนที่เป็นคู่แข่งทางการเรียนมาตลอด พวกเขาแข่งกันที่จะเป็นที่ 1 ในทุกเรื่อง แต่หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย พวกเขาต่างแยกย้ายกันไปเติบโต โดยเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่ และความล้มเหลวที่พวกเขาเจอในจังหวะใกล้ ๆ กัน ทั้งคู่ได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ฟีลหัวอกเดียวกัน จึงค่อย ๆ ปลอบโยนซึ่งกันและกัน

เคยมีคนพูดไว้ในหนังว่า…ความผิดพลาดกับความพ่ายแพ้หมดรูปนั้นแตกต่างกัน เขาบอกว่าใคร ๆ ก็ผิดพลาดได้ แต่การพ่ายแพ้หมดรูปนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย อยู่แค่ในนิทานปรัมปรา ผมแพ้หมดรูปเลย ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังมีเพื่อนที่เชื่อในตัวผม ผมจะสู้เพื่อหาความจริงต่อไป

ภาพจาก FB: JTBC Drama

ชื่อเรื่องก็บอกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า Doctor Slump ชีวิตของหมอที่กำลังพุ่งดื่งลงสู่จุดตกต่ำ ถ้าประเมินจากข่าวคราวต่าง ๆ ในสังคมเรา จะเห็นว่ามันเป็นเคสที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าไรนักหรอกที่เราจะเห็นความวิบัติของชีวิตหมอคนหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วในสังคมเรา แค่พูดถึงอาชีพหมอ มักจะถูกโยงไปถึงความสูงส่ง ความสำเร็จ การเป็นที่นับหน้าถือตา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอย่างยิ่งยวด บางครั้งถูกมนุษย์ป้าข้างบ้านหยิบยกอาชีพหมอมาใช้เปรียบเทียบดูแคลนคนอื่นอยู่บ่อยเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องดีต่อใจอะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นข้อเท็จจริงในสังคมเรา

แต่ในความเป็นจริง มีหมออยู่จำนวนมากที่ต้องพบเจอกับความตกต่ำในชีวิต มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่ทำคนไข้ตายคามือจนเป็นคดีความกันทุกราย ถึงจะเรียกว่าความตกต่ำของหมอ คือถ้าหมอเป็นอาชีพหนึ่ง การตกต่ำของหมอมันก็เกิดขึ้นได้ทั่วไปแบบที่ทุกอาชีพเป็นนั่นแหละ การทำงานหนักแต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ หรือทำงานเท่าไรก็ไม่ได้ดี หมดใจ หมดไฟในการทำงาน ทำงานไม่ได้ตามเป้าที่คาดหวัง เรื่องพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความตกต่ำของอาชีพแล้ว เพียงแต่หมอเป็นอาชีพที่สังคมเชิดชูแล้วถูกดันขึ้นไปอยู่ซะสูง พอมีเหตุให้ตกลงมาก็เลยเจ็บหนักกว่าชาวบ้านเขาหน่อยเท่านั้นเอง

ภาพจาก FB: JTBC Drama

กรณีของพระเอกที่เจอเข้ากับกรณีทุรเวชปฏิบัติ (?) บอกเลยว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตคนเป็นหมอตกต่ำได้มากที่สุดแล้วล่ะ จากหมอที่กำลังโด่งดัง กำลังกอบโกยความสำเร็จ กำลังมีชีวิตที่สวยงาม กลายเป็นคนที่ทุกอย่างติดลบในทันที ทุกอย่างชี้ว่าเขาผิด และหลายคนอยากให้เขาผิด เขาต้องต่อสู้กับทุกอย่างจนสภาพสะบักสะบอม ไม่เหลือคราบคุณหมอไอดอล แต่งตัวเหมือนคนตกงานธรรมดา ๆ พยายามประคับประคองตัวเองซมซานมาหาเพื่อน แต่แทนที่เพื่อนที่รู้จักกันมานานจะเชื่อใจเขาให้ถึงที่สุด คอยเป็นกำลังใจเพื่อให้เขาสู้ต่อในการค้นหาความจริง เพื่อนกลับกล่าวโทษว่าเขาทำชีวิตทุกคนพังอีก ถ้าจะคิดว่าตัวเองพ่ายแพ้หมดรูปก็คงไม่แปลกอะไร

ส่วนกรณีของนางเอก เป็นความรู้สึกที่กัดกร่อนใจ ตัวเองที่เคยเป็นคู่แข่งกับพระเอก แข่งกันแบบเป็นบ้าเป็นหลัง เคยเอาชนะเขาได้ แต่ดันมาพลาดในจุดที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเสียหน้ามากที่สุด คือในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย มีเพียงพระเอกคนเดียวที่สามารถเข้าคณะแพทย์มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศได้ ถ้าเธอจะไม่อยากเจอพระเอกอีกครั้งเพราะรู้สึกอับอาย ก็สมเหตุสมผลอยู่ แล้วอีกอย่าง เหมือนนางเอกจะเจอกับภาวะกดดันตัวเองมากเกินไป แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยจะเป็นไปตามที่หวังอยู่บ่อย ๆ เป็นคนเก่งมากแต่พอทำงานจริงต้องมาต้องอยู่ในสภาพขี้ข้าโดนโขกสับทุกวัน ความผิดหวังมันค่อย ๆ กัดกินใจในขณะที่ตัวเองยังคงต้องปั้นหน้ายิ้มสู้ต่อไป จนในที่สุดโรคซึมเศร้าก็แทรกซึมเข้ามา

ภาพจาก FB: JTBC Drama

เส้นทางที่กลับมาบรรจบกันอีกครั้งของเพื่อนคู่แข่งในวัยเรียนอย่าง “ยอจองอู” และ “นัมฮานึล” (รวมถึงการกลับมาเจอกันอีกครั้งของคู่พระนาง พัก-พัก “พักฮยองชิก-พักชินฮเย” ในรอบ 11 ปี) ในวันที่ชีวิตเขากำลังอยู่ที่ขอบเหว และชีวิตเธอที่ตกต่ำถึงขีดสุด พวกเขาต้องใช้ความเข้าใจจากประสบการณ์ที่มีร่วมกันค่อย ๆ ช่วยเหลือและเยียวยากันไป รวมถึงการตามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด วันที่พระเอกทำคนไข้ตายคามือ จริง ๆ พล็อตเรื่องแบบนี้มันคาดเดาเรื่องราวต่อจากนี้ไม่ยากเท่าไรหรอก แต่เรื่องนี้ดันเล่ารายละเอียดได้น่าสนใจไม่น้อยเลย

เป็นไปไม่ได้ พูดอะไรไร้สาระ แม่เลี้ยงแกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เสียสละทุกอย่างเพื่อแก แม่ไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่รู้ไปฟังใครพูดมานะ แต่อย่างแกจะซึมเศร้าได้ยัง//ทำไมหนูจะป่วยบ้างไม่ได้ หนูใช้ชีวิตทั้งชีวิตแบบที่แม่อยากให้ทำ แค่ป่วยยังไม่ได้เลยเหรอ

นี่น่าจะเป็นซีรีส์ที่พูดแทนความในใจหมอได้ครึ่งค่อนโลกเลยแหละมั้ง โดยเฉพาะหมอที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ตัวเองแค่เป็นเด็กฉลาด เรียนหนังสือเก่งเฉย ๆ ก่อน จากนั้นพ่อแม่ก็เริ่ม “เห็นแวว” ว่าเรียนเก่งแบบนี้น่าจะเรียนเป็นหมอได้ เลยพยายามผลักดัน (แกมกดดันและบังคับ) ให้ลูกได้เป็นหมอ เชื่อได้เลยว่ามีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยถามลูกก่อนด้วยซ้ำว่าอยากเป็นหมอไหม แต่ปูพื้นฐานให้ลูกได้เรียนเตรียมหมอแล้ว ถามว่าทำไมหลายคนอยากให้ลูกเป็นหมอ เพราะมันเป็นอาชีพที่ใกล้เคียงคำว่าประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าอาชีพอื่น ก็นะ เส้นทางกว่าจะเป็นหมอมันยากมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ และเป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่ได้รับการยอมรับจากสังคมให้อยู่ชั้นบน ๆ ของห่วงโซ่อาหารด้วย

ภาพจาก FB: JTBC Drama

นางเอกก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่มีจุดเริ่มต้นด้วยเหตุนี้ เหมือนว่าพื้นฐานเป็นเด็กขยันและหัวดี ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เป็นความภาคภูมิใจของแม่ที่ทำให้แม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ เมื่อใคร ๆ พูดถึงเธอในฐานะเด็กอัจฉริยะที่สอบได้ที่ 1 ของประเทศ ก็เท่ากับว่าแม่ของเธอจะกลายเป็นแม่ของเด็กอัจริยะ การที่เธอกลายเป็นความภูมิใจเพียงอย่างเดียวของแม่ แม่จึงเริ่มคาดหวังในตัวลูกสาวและอยากให้ลูกได้ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะในความเป็นจริง หากลูกสาวประสบความสำเร็จ มันแปลว่าคนเป็นแม่ก็พลอยประสบความสำเร็จไปด้วยในฐานะคนที่เลี้ยงลูกมาจนได้ดี แม่จึงเสียสละและพยายามสนับสนุนลูกคนนี้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จนความคาดหวังเริ่มสร้างความกดดันให้ลูกตัวเอง

ภาพจาก FB: JTBC Drama

ส่วนตัวนางเอก จริง ๆ ก็คงมีเป้าหมายอยู่แล้วว่าเรียนหนัก ท่องหนังสือหนักขนาดนั้นไปเพื่ออะไร แต่ข้อเท็จจริงที่ตัวเองก็เป็นความภาคภูมิใจของแม่ จึงไม่อยากทำให้แม่ต้องผิดหวังในตัวเอง การที่เธอเสียพ่อไป และเห็นแม่เสียสละ ทุ่มเทเพื่อตัวเองมากขนาดนั้น ยิ่งทำให้เธอกดดันตัวเองมากกว่าเดิมว่าจะต้องเป็นลูกที่อยู่ในโอวาทของแม่ แม่ให้ทำอะไรก็ทำอย่างที่แม่บอก ไม่หือไม่อือ ไม่มีปากมีเสียง เพราะไม่อยากทำให้แม่เสียใจหรือผิดหวัง แม่อยากเห็นเธอประสบความสำเร็จแบบไหน เธอก็จะเป็นให้แม่เอง ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย เพราะสุดท้ายชีวิตที่ประสบความสำเร็จมันก็เป็นของตัวเธอเอง เธอยอมรับแรงกระแทกทุกอย่าง แบกมันไว้คนเดียว จนตัวเองกลายเป็นซึมเศร้าไปในที่สุด

ภาพจาก FB: JTBC Drama

สถานการณ์ลักษณะนี้ บอกเลยว่ามันเป็นสงครามประสาทรูปแบบที่น่ากลัวมาก และเป็นระเบิดเวลาที่รอจะโบ้ยกันเอง เพราะแม่ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าบังคับลูกว่าลูกต้องเรียนหมอ ไม่ได้เอาแต่ไล่ลูกเข้าห้องไปอ่านหนังสือ ห้ามกินข้าวกินปลา หรือไม่ยอมให้ลูกกินข้าวอิ่ม ไม่งั้นจะง่วงนอนจนอ่านหนังสือไม่ได้แบบแม่ใน The Good Bad Mother ส่วนลูกก็มีเป้าหมายจะเป็นหมออยู่แล้ว จึงพยายามและกดดันตัวเองหนักขึ้นเพราะรู้ว่าแม่คาดหวัง กลัวแม่ผิดหวังและเสียใจ ตัวเองเป็นความสุขของแม่จึงไม่อยากให้แม่เจ็บปวด ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้แม่ยิ้มได้ แต่พอทุกอย่างผิดแผน ลูกป่วยจนต้องลาออก แม่รับไม่ได้กับความสูญเปล่า สุดท้ายแม่ลูกก็มายืนทะเลาะกัน สาดความผิดหวังใส่กัน

ฮานึลลูก แม่อยากได้ลูกสาวที่สุขภาพแข็งแรง มากกว่าลูกสาวที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าลูกจะเลือกแบบไหน แม่ก็รักและเป็นห่วงลูกมากนะ

คุณ จางฮเยจิน คือนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือที่มักจะได้รับบทเป็นแม่ของนางเอกอยู่บ่อย ๆ แต่คาแรกเตอร์ความเป็นแม่ของเธอนั้น คือแม่ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจลูกของตัวเองเท่าไร จนกระทั่งได้ค้นพบความจริงว่าที่ผ่านมาลูกสาวของตัวเอง (ตัวนางเอก) ต้องทนทุกข์ทรมานใจมากขนาดไหน เท่าที่ได้เปิดดู มีซีรีส์อยู่ 2 เรื่องที่เธอได้รับบทแม่แบบที่ว่ามา

ภาพจาก FB: JTBC Drama

เรื่องแรกคือ True Beauty เธอเป็นแม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกสาวคนกลางที่หน้าตาไม่ค่อยสวย เคยถูกบูลลี่อย่างหนักที่โรงเรียน เด็กสาวผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้ด้วยการย้ายโรงเรียนและเรียนแต่งหน้า ใช้เครื่องสำอางปกปิดปมด้อยของตัวเอง แต่แม่ที่ไม่รู้เรื่องนี้กลับคอยแต่ก่นด่าสารพัดว่าลูกสาวทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระ วัน ๆ ไม่สนใจเรียนหนังสือแต่หมกมุ่นอยู่กับการแต่งหน้า ครั้งหนึ่งที่เด็กสาวไปสมัครเรียนคอร์สแต่งหน้าไว้แล้วแม่ไปเจอใบลงทะเบียนเรียนเข้า แม่เคยฉีกทำลายใบลงทะเบียนเรียนนั้นต่อหน้าลูกสาวตัวเองมาแล้ว

และกับเรื่องล่าสุด Doctor Slump บรรยากาศการทะเลาะกันระหว่างแม่ลูกกลับมาอีกครั้ง เมื่อนางเอกตัดสินใจถอดชุดกาวน์ลาออกจากการเป็นหมอที่โรงพยาบาล เพราะทนไม่ไหวที่ถูกหัวหน้างานทำตัวน่ารังเกียจใส่ จ้องแต่จะเอาเปรียบ โขกสับ ด้อยค่า ดูถูกว่าเป็นคนโง่ โยนความผิด และ gaslight ให้นางเอกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ต้องก้มหน้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันกับที่รู้ตัวว่ากำลังโดนโรคซึมเศร้าเล่นงาน ถ้าไม่พาตัวเองออกจากสถานการณ์เลวร้ายนั้นในเร็ววัน อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่การลาออกที่ตั้งใจจะยังไม่ให้แม่รู้ก็ดันล้มเหลว แม่โกรธมากที่ลูกสาวทิ้งอนาคตทุกอย่าง และไม่เข้าใจว่าลูกที่ตัวเองเลี้ยงดูอย่างดีเป็นซึมเศร้าได้ยังไง

ภาพจาก FB: JTBC Drama

บอกเลยว่าเป็นซีนอารมณ์ที่ตึงจัดทั้ง 2 เรื่อง แม่ที่ไม่เคยรู้ว่าจิตใจของลูกสาวตัวเองพังยับเยินแค่ไหน เอาแต่ตะโกนด่าทอลูกต่าง ๆ นานา ในความเป็นจริง มันคือความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่ไม่อยากเห็นลูกล้มเหลว ไม่อยากให้ลูกต้องมาตกที่นั่งลำบากแบบที่ตัวเองเป็นมาก่อน แต่แม่ก็ไม่ได้ใส่ใจลูกมากพอที่จะรู้ว่าลูกแบกรับอะไรไว้คนเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมา ด่าก่อนและไม่เคยถาม จนกระทั่งได้มารู้ความจริงที่น่าหดหู่ว่าลูกตัวเองน่าสงสารมากขนาดไหน เรื่อง True Beauty แม่รู้ว่าลูกเคยโดนทำร้ายเพราะความไม่สวย จากคลิปที่พวกเด็ดเกเรถ่ายเอาไว้ตอนแกล้งเพื่อน ส่วนในเรื่องล่าสุดนี้ แม่เข้าใจความเจ็บปวดของลูกเพราะเจอยารักษาโรคซึมเศร้าที่ลูกแอบซุกไว้ในห้องนอน และลูกไม่กลับบ้าน

ภาพจาก FB: JTBC Drama

มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากนะกับการที่ต้องมาโดนทำร้าย 2 ต่อ เจ็บปวดจากคนนอกบ้านว่าแย่แล้ว กลับมาบ้านยังต้องมาเจอคนในครอบครัวที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยปาระเบิดใส่อีก แล้วที่เจ็บปวดที่สุดคืออะไรรู้ไหม คือการที่คนที่เราอยากให้เขาเข้าใจเรามากที่สุด คนที่เราอยากให้เขากอดเรามากที่สุด คนที่เราอยากให้เขาเช็ดน้ำตาให้เรามากที่สุดอย่าง “แม่” กลายเป็นคนที่ผลักไสเราออกไปมากที่สุด เอาแต่ด่าเสียงดัง เอาแต่ตั้งคำถามที่ไม่น่าตอบ และจะพูดแต่เรื่องที่ตัวเองอยากพูด แล้วไม่ฟังว่าเราอยากบอกอะไร แม่แบบนี้กว่าจะเข้าใจความรู้สึกของลูกตัวเอง ก็เกือบจะสูญเสีย ยังดีที่เรื่องนี้แม่เข้าใจนางเอกเร็ว และหันมาสนใจสุขภาพลูกมากกว่าความสำเร็จของลูกเสียที

ภาพจาก FB: JTBC Drama

หลายคนที่เปิด Doctor Slump ดู อาจเพราะตาม พักฮยองชิก-พักชินฮเย มาจาก The Heirs เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ที่ทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน (แต่ไม่ได้เล่นคู่กัน) แต่จริง ๆ แล้ว พล็อตของซีรีส์ที่เลือกจะหยิบอีกด้านของอาชีพหมอที่ต้องเจอเรื่องทุกข์ยากและความเสี่ยงมากมายเบื้องหลัง มันก็ไม่ได้เป็นประเด็นใหม่อะไรนัก เพียงแต่มันสามารถนำมาใช้ย้ำและสร้างความตระหนักบางอย่างเกี่ยวกับอาชีพหมอที่ต้อง “รับผิดชอบ” ทุกชีวิตที่เดินเข้ามาหาตัวเอง อีกทั้งก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่คนเป็นหมอจะเจอช่วงกราฟชีวิตดิ่งต่ำสุดขีดได้เหมือนกับที่อาชีพอื่นเป็น และแอบหวังว่ากระบวนการเยียวยากันและกันของพระนาง น่าจะเผื่อแผ่พลังบวกมาที่คนดูได้ไม่มากก็น้อย 🩺