
ดูเหมือนว่ายิ่งเราพยายามจะหลีกเลี่ยง มันยิ่งมีแรงดึงดูดเข้าหา สัจธรรมนี้ถูกพิสูจน์ด้วยซีรีส์เรื่องใหม่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นซีรีส์ที่ตัวดิฉันไม่ค่อยอยากจะย่างกรายเฉียดเข้าไปลองดูเลยแม้แต่ตอนเดียว แบบว่ายังไม่พร้อมจะเป็นโรคประสาทมากไปกว่านี้ ด้วยกิตติศัพท์และลายเซ็นแบบชวนประสาทของคนเขียนบทและผู้กำกับที่เป็นที่เลื่องลือหนักมามาตั้งแต่ซีรีส์เรื่อง Penthouse เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน และวันนี้พวกพวกเขาก็กลับมาทวงคืนความประสาทแดกให้กับชาวเราอีกครั้ง กับซีรีส์เรื่อง The Escape of the Seven
ก่อนหน้านี้เคยมีใครหลายคนบอกว่า Penthouse เป็นซีรีส์ที่ไปไกลมาก ไกลแบบกู่ไม่กลับแล้ว ทั้งความเล่นใหญ่แบบไตรภาคแล้วจบแบบอิหยังวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ ทั้งปมต่าง ๆ ในเรื่องที่ค่อนข้างจะจับเชื่อมโยงกับตรรกะได้ยาก และอะไรต่ออะไรอีกสารพัดที่ทำให้คนดูซีรีส์ Penthouse เกือบทุกคนพูดตรงกันว่านี่มันซีรีส์ประสาทแดกแห่งปีนี่หว่า ซึ่งบัดนี้ สิ่งเหล่านั้นกำลังได้กลับมาฉายซ้ำอีกครั้งด้วยซีรีส์เรื่องใหม่นี้ บทโทรทัศน์จากคนเขียนบทคนเดิม และผู้กำกับคนเดิมคนเดียวกันกับ Penthouse นั่นแหละ แถมยังขนทัพนักแสดงมากมายมาจาก Penthouse ด้วย คนดูก็เลยคาดหวังพร้อมกับกำกระปุกพาราไปด้วย และดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ผิดหวัง
The Escape of the Seven เป็นเรื่องราวที่นำเสนอให้เห็นว่าความปรารถนาที่พลุ่งพล่านของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่สนถูกผิดและไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดี เมื่อคน 7 คนมีเป้าหมายบางอย่างในชีวิตไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การปิดบังความเน่าหนอนของตัวเอง หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้เหยื่อและคำโกหกมากมายเพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายนั้น พวกเขา 7 คนไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าไปเสี่ยง โดยที่ไม่รู้เลยว่าบาปที่พวกเขาก่อ จะนำพาคน 7 คนไปกองรวมกันโดยมิได้นัดหมาย เผชิญกับเหตุการณ์ในวังวนความวุ่นวาย และต้องพบกับการลงทัณฑ์ที่งานนี้มีนองเลือด

พวกเขาทั้ง 7 คนเชื่อมโยงกันด้วยเด็กสาวม.ปลายคนหนึ่งนามว่า “บังดามี” หลานสาวและทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมหาเศรษฐี หลักจากที่เธอถูกเลือกให้เป็นเหยื่อต้องถูกกระทำต่าง ๆ นานา ไม่เว้นแม้แต่แม่แท้ ๆ ของตัวเอง แต่จู่ ๆ เธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับในค่ำคืนที่เธอส่งข้อความหาคนทุกคนที่ทำลายชีวิตเธอว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะหยิบยื่นให้ น่าสนใจว่าคน 7 คนต่างมีจุดเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเธอในแง่ของความโหดเหี้ยมแบบหยั่งไม่ถึง และชั่วร้ายอย่างที่สุด ซึ่งความหายนะกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เพราะคนพวกนี้ต้องชดใช้อย่างสาสม
ถ้าอยากรอด แกต้องขย้ำพวกนั้นก่อนจะโดนขย้ำ

ก็เหมือนกับที่คนเขียนบทและผู้กำกับไล่ขย้ำสมองน้อย ๆ ของคนดูก่อนนี่แหละ ได้พักสมองจาก Penthouse 3 มาแค่ประมาณ 2 ปีเท่านั้นเอง พวกเขาก็จัดหนักจัดเต็มกับคนดูอีกครั้งใน The Escape of the Seven ที่ตัวละครแต่ละตัวเปิดสงครามไล่ขย้ำฉีกทึ้งกันไปมาแบบไม่มีทั้งความสมจริงและไม่มีต่อมรู้ผิดรู้ชอบอะไรเลย เข้าใจอยู่ว่ามันเป็นซีรีส์ประเภทที่ต้องถอดสมองดู แต่มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ นะ ตัวร้ายทำอะไรก็เข้าทางไปหมด ในขณะที่เหยื่อโดนรุมบดขยี้จากทุกทิศทาง ถูกกระทำจากคนทั้งสังคมเพียงคนเดียว แถมไม่ว่าจะทำอะไรก็เพลี่งพล้ำให้อีกฝ่ายทุกอย่าง ถ้าเป็นนี่จะแกล้งบ้าไปเลยนะถ้าจะโดนขนาดนี้

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ซีรีส์เรื่องนี้มีคนดีน้อยมาก หรือเผลอ ๆ อาจจะไม่เหลือคนดีเลยก็ได้นะ คิดว่าซีรีส์จักรวาลนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้หมดแหละ ยิ่งถ้าในวันหนึ่งคนที่เคยถูกกระทำจะพลิกตัวเองขึ้นมาเป็นผู้กระทำและคุมเกมทั้งหมดเสียเอง ซึ่งก็น่าสนใจว่าตัวละคร “บังดามี” จากเด็กผู้หญิงม.ปลายตัวเล็ก ๆ ที่จู่ ๆ ก็กลายมาเป็นที่หมายหัวของตัวร้ายทุกคนจะลุกขึ้นสู้และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแบบไหน ส่วนตัวมองว่าตัวละครนี้ไม่ได้โง่ บางมุมนางดูฉลาดแค่ไม่ค่อยเฉลียว ด้วยความที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตมาอย่างดี อยู่แต่ในสังคมดี ๆ มาตลอด มองโลกในแงดีเสมอ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าคนรอบข้างที่พยายามเข้าหาตัวเองจะมีจุดประสงค์ที่เลวร้ายหมดทุกคนขนาดนั้น

ความผิดพลาดสามข้อของตัวละครบังดามี ก็คือ ข้อแรก นางเป็นคนดีเกินไป ดีจนทำให้ใคร ๆ ก็คิดว่าการเลือกนางเป็นเหยื่อแล้วจะได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา ข้อสอง นางอยู่ผิดที่ผิดทาง ทำให้นางซวยไม่เลิก โผล่ไปตรงไหนก็มีเรื่องชวนงานเข้าตลอด และข้อสาม นางไม่ฟังสิ่งที่แม่แท้ ๆ ของตัวเองพยายามสอนว่า “ถ้าอยากรอด แกต้องขย้ำพวกนั้นก่อนจะโดนขย้ำ” ซึ่งมันก็ย้อนกลับไปที่ข้อแรก เพราะนางเป็นคนดี คิดบวก ไม่เอะใจว่าจะโดนขย้ำในสักวัน นางก็เลยไม่ได้คิดจะเริ่มต้นขย้ำใครก่อนเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย แต่ในเวลานี้นางน่าจะรู้แล้วว่าต้องเริ่มโต้ตอบอะไรบ้าง

ถึงซีรีส์เรื่องนี้จะหาตรรกะและความสมจริงไม่ค่อยได้ แต่ดูเหมือนคำพูดที่ว่า “ถ้าอยากรอด แกต้องขย้ำพวกนั้นก่อนจะโดนขย้ำ” มันจะใช้ได้จริงบนโลกใบนี้นะ มนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์ตรงที่มีต่อมรู้สำนึก มีศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี อาจมองว่ามันเป็นวิธีเทา ๆ แต่ในความเป็นจริง สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลกก็ใช้วิธีนี้ในการปกป้องตัวเอง มันเป็นห่วงโซ่ ถ้าเรามองว่าสิ่งมีชีวิตแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือผู้ล่ากับผู้ที่จะถูกล่า สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้นานที่สุดบนห่วงโซ่ก็มีแค่ผู้ล่าเท่านั้น ดังนั้น ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อ ไม่อยากถูกล่า ก็ต้องแกร่งพอที่จะเป็นผู้ล่าซะเอง ต้องเป็นฝ่ายไล่ขย้ำไอ้ตัวที่จะมาขย้ำเราในสักวันให้ได้ก่อน ถึงจะไม่ถูกขย้ำและอยู่รอดปลอดภัย ต้องเป็นฝ่ายล่าเพื่อจะได้ไม่โดนล่า
ความจริงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ความจริงคือสิ่งที่โลกเชื่อ

จำไม่ได้เหมือนกันว่าไปเห็นมาจากเพจไหน เพราะช่วงนี้เพจแนะนำซีรีส์มักจะแนะนำซีรีส์เรื่องนี้ออกเกลื่อน แต่มีคอมเมนต์จากคนที่คาดว่าน่าจะได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว พิมพ์ความเห็นของตัวเองไว้ใต้โพสต์ที่แอดมินแนะนำซีรีส์เรื่องนี้ ประมาณว่า “ดูแล้วเครียด ถ้าในความเป็นจริง คนเราเชื่อคนง่ายกันแบบนี้ ก็…หายกันหมด” มันไม่ตามนี้เป๊ะ ๆ หรอกนะ แต่ใจความประมาณนี้เลย อ่านทีแรกก็เห็นด้วยนะ เพราะความเป็นไปในซีรีส์เนี่ยหลอกกันง่ายหลอกกันดายเหลือเกิน ใครเขาพูดอะไรมา ตัวละครฝ่ายดีก็เชื่อเขาง่าย ๆ ไปหมด สุดท้ายเลยกลายเป็นเหยื่ออยู่ในเวลานี้ยังไงเล่า

แต่เดี๋ยวก่อน ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ตัวละครฝ่ายดีนะที่เชื่อคนง่าย ตอนนี้ไม่ว่าตัวร้ายจะโกหกอะไร คนทั้งสังคมก็เทกันไปเชื่อคำพูดจากปากตัวร้ายทั้งนั้น คนทั้งโรงเรียนพากันเชื่อคำพูดเด็กของคนหนึ่งที่เป็นดาวของโรงเรียนและเสแสร้งว่าเป็นคนดีของทุกคน แต่เมินคำพูดของเด็กอีกคนหนึ่งที่ยืนกรานจนปากฉีกว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเอง เด็กที่อ้อนวอนแทบเป็นแทบตายขอให้เชื่อเธอ พวกตัวร้ายตั้งช่องออนไลน์แล้วไลฟ์ใส่ร้ายคนอื่นต่าง ๆ นานา คนก็พากันเชื่อไอ้พวกที่ไลฟ์ด่าไลฟ์แฉคนอื่น ถึงขั้นที่มันชวนให้ส่งเบาะแสทำลายชีวิตใครสักคน ก็ยอมทำตามที่มันบอก ดูคนเราสิ!

แทบไม่ต่างอะไรกับชีวิตจริงเลยล่ะ ไม่ใช่แค่ในละครที่ใครต่อใครก็เชื่อคนง่าย เพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของพวกเรา ไม่เชื่อลองสังเกตดูสิ แค่มีใครออกมาปล่อยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ไว้นิดหน่อย แล้วก็ชี้เป้าแบบใบ้ ๆ ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ชาวเน็ตก็พร้อมที่จะพากันไปจอดรถทัวร์ที่เป้าหมายคนนั้นอย่างง่ายดาย ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำเฉลยของคำใบ้นั้นถูกตัวหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นั้นจริง ๆ เป็นคนแบบไหนแต่ตัดสินเขาเรียบร้อยแล้วว่าเขาผิดเขาไม่ดี และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข่าวโคมลอยพวกนั้นเป็นข่าวจริงหรือข่าวที่กุขึ้นเพื่อหวังเล่นงานใครสักคนเฉย ๆ โลกความเป็นจริง เราก็เชื่อคนง่ายแบบในซีรีส์เลย พิมพ์ด่าเขาจนหนำใจ แต่พอเขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเองได้ คนพวกนี้หายหัวกริบ

ยืนยันได้เลยว่าชีวิตจริงของเราก็เชื่อข่าวลือและเชื่อเพจจอมแฉง่าย ๆ แบบในซีรีส์เป๊ะ ถึงจะยังไม่เชื่อเต็มร้อยแต่ก็พร้อมที่จะกระจายข่าวต่อโดยอ้างว่าข่าวยังไม่ได้กรอง ไม่สนใจว่าถ้ามันไม่จริงมันมีคนเดือดร้อน จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสังคมทุกวันนี้มันถึงดู…หายไปหมด ชีวิตจริงมีคนตกเป็นสนามอารมณ์ให้คนทั้งสังคมโจมตีและเหยียบย่ำไม่ต่างอะไรกับที่ “บังดามี” โดนเลยแม้แต่น้อย ความจริงคืออะไรคนส่วนใหญ่ไม่สนใจอยากรู้ เพราะความจริงคือสิ่งที่แรกทุกคนได้ยินและเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นไปแล้ว ความจริงคือสิ่งที่โลกเชื่อ เพราะฉะนั้น ความจริงที่ออกจากปากบังดามีจะกลายเป็นคำโกหกที่พูดเท่าไรก็ไม่มีใครได้ยิน ยิ่งพูดก็ยิ่งกลายเป็นแก้ตัวให้คนเขาหมั่นไส้และรังเกียจหนักกว่าเดิม
ถ้าจู่โจมแบบไม่มีแผน เธอนั่นแหละที่จะเจ็บตัว ต้องสู้ให้เหมือนพวกมัน เข้าใจไหม

ยิ่งดูก็ยิ่งอึดอัด ช่วงที่บังดามีพยายามพูดความจริงว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไงแต่ไม่มีใครเชื่อเธอเลย แถมเรื่องยิ่งแย่ลงด้ว เพราะทุกคนที่พยายามใส่ร้ายเธอถือไพ่เหนือกว่าเธอทุกคน แต่ในที่สุดก็มีคนที่ดึงสติบังดามีเสียทีว่าไอ้การร้องแรกแหกกระเชอบอกกับสังคมปาว ๆ ว่าตัวเองไม่ได้ทำเรื่องบ้าบอแบบที่สังคมกำลังชี้หน้าด่าอยู่มันไม่มีประโยชน์และทำให้ตัวเองเจ็บตัวเปล่า เวลานี้ข่าวมันเลวร้ายเกินกว่าที่จะใช้แค่คำพูดพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้ว และมันก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวอะไรได้ด้วยการยืนกรานหนักแน่นกับสังคมว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

นางน่าจะเอะใจให้ได้ตั้งแต่ที่เห็นว่าเรื่องราวมันเริ่มแย่ลงก็เพราะนางพยายามจะแฉความจริง ยิ่งนางบอกว่าคนทำผิดไม่ใช่ตัวเอง และพยายามพูดความจริงว่าใครคือคนผิด มันยิ่งกลายเป็นช่องโหว่ให้โดนโจมตีจากพวกที่เสแสร้งเล่นละครเก่งกว่านางหลายเท่าตัวได้กระทืบซ้ำ ในเมื่อพูดความจริงแล้วไม่มีคนเชื่อ แถมยิ่งพูดความจริงมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าตัว นางก็น่าที่จะหยุดพูดได้แล้ว และมาคิดหาวิธีใหม่ที่จะแฉความจริงแบบให้สังคมได้เห็นด้วยตาตัวเองดีกว่า จะสู้กลับคนชั่วร้ายแบบนั้นต้องมีแผน ถ้าสู้แบบไร้แผน สุ่มสี่สุ่มห้าสู้แบบคนดีคนซื่อก็มีแต่จะเจ็บตัวเอง แผนการมันสำคัญมาก มีอย่างที่ไหนจะเดินไปโต้ตอบกับคนทั้งโลกขนาดนั้น แล้วจะไปแบบธรรมดา ๆ

แต่เนื้อเรื่องตอนนี้คือชวนปวดหัวมากนะ อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ พารากระปุกเดียวไม่เคยพอ ส่วนตัวคิดว่านางน่าจะมีแผนอะไรบางอย่างที่จะเอาคืนคนพวกนั้นอยู่บ้างแล้ว หลังจากที่ถูกดึงสติกลับมาว่าถ้าคิดจะสู้ต้องมีแผนที่เฉียบคม แต่ด้วยนางเป็นแค่เด็กม.ปลายตัวคนเดียว เรียนเก่งก็จริงแต่เรื่องไม่ได้เปรยมาว่าเป็นอัจฉริยะ ไม่น่าจะคิดแผนซับซ้อนอะไรได้มากมาย อีกอย่างองค์กรที่นางไปขอความช่วยเหลือ ก็ไม่น่าจะยอมเล่นตามแผนอะไรที่เด็กม.ปลายเป็นคนคิดขึ้นด้วย ยิ่งดูยิ่งอึดอัด ยิ่งคิดยิ่งไมเกรนขึ้น คงถูกใจคนเขียนบทแล้วสิ ที่ปั่นเก่งแกงเก่งแถมยังไปสุดได้แบบอิหยังวะอีก ตอนนี้เลยเดาทางไม่ออกว่าเรื่องในอีพีที่ 4 ที่จะฉายในคืนนี้จะเป็นไปในแนวไหน

จากนี้ไปคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้น่าจะเดือดขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับบังดามีตอนนี้มันชวนให้สงสัยมากว่านางหายไปไหน หายไปเองหรือใครพาไป แล้วคนที่พาไปนี่ฝ่ายดีหรือฝ่ายร้าย นางกำลังโดนกระทำซ้ำหนักกว่าเดิม หรือนางไปเจอกุนซือสุดฉลาดที่วางแผนเด็ด ๆ เพื่อช่วยนางเปิดโปงคนชั่วและได้แก้แค้นทุกคนอย่างสาสมกันแน่ ด้วยความที่มันเพิ่งจะอีพีที่ 3 เอง ครึ่งทางก็ยังไม่ถึง เพราะฉะนั้น เรื่องมันก็น่าจะยังวนอยู่ในขั้นตอนการขึ้นให้สุดเพื่อแฉบาปและความชั่วของพวกตัวร้ายก่อน น่าจะยังไม่มีการโต้ตอบเอาคืนอะไร แต่ก็อย่างว่าแหละ อยู่ในจักรวาลของผู้กำกับและคนเขียนบทคนนี้ มันเลยไว้ใจอะไรไม่ได้มาก แต่หวังว่านางจะปลอดภัย เพราะนางไม่ได้ทำอะไรผิดเลย♟