ช่วงหลัง ๆ มานี้ สังเกตเห็นว่า Netflix ขยันออกซีรีส์ถี่ยิบ โดยเฉพาะซีรีส์ทุนสร้างของ Netflix เอง ประเภทที่ปล่อยออกมาให้สตรีมทีเดียว 6 ตอนบ้าง 8 ตอนบ้าง 10 ตอนบ้างนั่นแหละ ซีรีส์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นที่ฮือฮาอย่างมากช่วงที่กำลังโปรโมต เพราะ Netflix นางชอบทำเป็นแคมเปญเล่นใหญ่เล่นโตกระจายไปทั่วเมือง คนก็คาดหวังกันว่ามันจะออกมาดีสมการรอคอย รอสตรีมกันตั้งแต่ช่วงบ่ายวันแรกที่ปล่อย แล้วก็แข่งกันว่าใครจะดูจบแล้วมารีวิวให้เป็นวิทยาทานแก่คนอื่น ๆ ได้เร็วที่สุด
ซีรส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่เพิ่งปล่อยสตรีม 6 ตอนรวดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา Black Knight เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่เสียงชาวเน็ตแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายหนึ่งที่คาดหวังสูงแล้วก็ผิดหวัง เพราะเรื่องไปไม่ถึงจุดที่คาดไว้ กลุ่มนี้ทำรีวิวออกมาเลยว่าเรื่องบกพร่องตรงไหน ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่าชอบและสนุกดี แต่ก็ไม่ได้รีวิวอะไรไว้เป็นชิ้นเป็นอัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เท่าที่ตามดูกระแสในโซเชียลมีเดีย ก็ยังไม่เห็นกระแสอวยแรง ๆ สักเท่าไรด้วย
Black Knight เป็นเรื่องราวไซไฟบนโลกดิสโทเปีย เล่าถึงโลกในอนาคตที่อยู่ในปี 2071 ที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศที่เลวร้ายถึงขึ้นต้องใส่หน้ากากออกซิเจนเวลไปไหนมาไหน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเพราะมีดาวหางพุ่งชนโลกเมื่อ 40 ปีก่อน โลกที่เราคุ้นเคยไม่มีอีกแล้ว ทวีปส่วนใหญจมอยู่ใต้ทะเล ส่วนคาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นทะเลทราย เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้มีเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่แทนที่คนน้อยลงแล้วผู้ปกครองจะปกครองได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลับมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวด ชนชั้นล่างสุดคือผู้ลี้ภัย
เพราะผู้คนถูกแบ่งออกเป็นชนชั้นที่แตกต่างกันในการปกครอง เวลาจะกระจายพวกอากาศบริสุทธิ์หรือของจำเป็นต่อการดำรงชีวิต จะต้องมีพนักงานส่งของทำหน้าที่ ถึงอย่างนั้น พวกของจำเป็นต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะอากาศ ถูกผูกขาดด้วยกลุ่มธุรกิจเพียงเจ้าใหญ่เจ้าเดียวที่มีความผูกพันกับรัฐบาลอย่างเหนียวแน่น ซึ่งสำหรับเหล่าผู้ลี้ภัยทั้งหลาย การประกอบอาชีพคนส่งของเป็นเพียงความหวังเดียวในการยกระดับชีวิตของพวกเขา อันเนื่องมาจากเรื่องราวของคนส่งของในตำนานที่เป็นเหมือนกับอัศวินของพวกผู้ลี้ภัย เขาคือ 5-8 กลางวันส่งของปกติ ส่วนกลางคืนก็ออกช่วยเหลือผู้คน ใคร ๆ ก็มี 5-8 เป็นไอดอล โดยเฉพาะเด็กหนุ่มผู้ลี้ภัยคนหนึ่งที่พุ่งเข้าหาเขาอย่างไม่กลัวอะไรเลย
ถ้าให้รีวิวตามจริงคือมันก็สนุกดีแหละ พวกฉากต่อสู้ทั้งหลาย บวกกับการเนรมิตโลกที่ดูแล้วชวนหายใจไม่ออกเพราะเต็มไปด้วยทราย ฝุ่น และมลพิษ มันทำให้คนดูรู้สึกอยากจะหาออกซิเจนมาหายใจจริง ๆ แต่ในส่วนของเรื่องราว บอกเลยว่ามีงง ๆ และไม่สมเหตุสมผลหลายจุด มีหลายประเด็นเลยที่แบบว่าจะใส่เข้ามาทำไมเนี่ยถ้าไม่คิดจะขยายความต่อ เหมือนใส่มาแล้วลืมงี้ แล้วบางจุดก็สนุกแต่ไม่สุด ตอนตัวร้ายโดนสอยเนี่ย คือบทจะง่ายก็ง่ายไป คือแค่คนดูกะพริบตาก็จบเห่ไปแล้ว
สำหรับเรานะ จุดขายของเรื่องจริง ๆ แล้วอยู่ที่คิมอูบินต่างหาก โอ๊ย! พ่อคุณคนอะไร รูปร่างหน้าตาดูดีชวนมองไปหมด คิวบู๊คือมองเพลินมาก ใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็หล่อเท่ คือมันจะมีช่วงสั้น ๆ ที่แก๊งคนส่งของต้องปลอมตัวเป็นทหารเพื่อเข้าไปยังเขตศูนย์กลาง หลังจากเข้าไปแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดหนังสีดำ ชุดไหนก็ชวนมอง ส่วนอีซม เรื่องนี้เป็นทหารหญิงที่โคตรเท่ คือชอบหน้าเก๋ ๆ ของนางอยู่แล้ว บทผู้พันหน่วยข่าวกรอง ดูทำให้นางมีราศีขึ้นเยอะ คิวบู๊ยิงปืนอย่างแมน เป็นลักษณะของผู้หญิงที่ชวนมองจริง ๆ
โลกล่มสลาย เด็ก ๆ ก็เลยกลายเป็นบ้ากันสินะ

ก่อนที่เข้าเรื่อง Black Knight ที่มีช่วงหนึ่งกล่าวถึงเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะเป็นคนส่งของให้ได้เพื่อยกระดับชีวิตของตัวเองจากชนชั้นผู้ลี้ภัย พวกเขาเลยทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะดูบ้าระห่ำแค่ไหนก็ตาม อยากยกคำพูดหนึ่งจากซีรีส์เรื่อง Doctor Cha มันเป็นฉากที่คนไข้อายุน้อยรายหนึ่งที่รู้สึกหมดหวังในชีวิตเนื่องจากตัวเองป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรักษายาก แถมยังมีสถานการณ์อื่น ๆ กดดันอีก เขาเลยมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย และคิดอยากฆ่าตัวตาย หมอสามีของหมอชาคิดว่าคนไข้รายนั้นยังวัยรุ่นอยู่เลย ทำไมถึงได้คิดอะไรที่มันสุดโต่งแบบนั้น ทว่าหมอตับซึ่งยังหนุ่มกว่ากลับคิดตรงข้าม เขาเข้าใจคนไข้รายนั้นว่าเพราะยังเป็นวัยรุ่นอยู่นี่แหละ ถึงได้รู้สึกสิ้นหวังขนาดนั้น
จักรวาลที่ปรากฏในซีรีส์เรื่อง Black Knight มันเป็นโลกในอนาคตที่ดูไม่มีอนาคตอะไรที่คาดหวังได้เลย หลังจากที่ดาวหางพุ่งชนโลกเมื่อ 40 ปีก่อน (ราว ๆ ปี 2031 เพราะช่วงเวลาที่เล่าในเรื่องเป็นปี 2071) โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้เข้าขั้นล่มสลาย คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นดินแดนทะเลทราย และมีผู้รอดชีวิตมาเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ด้วยความที่อากาศก็ปนเปื้อนมลพิษ ที่หากไม่สวมหน้ากากออกซิเจนติดหน้าไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในที่โล่งแจ้ง คุณจะป่วยและเสียชีวิตได้ภายใน 10 นาทีหรือน้อยกว่านั้น ทรัพยากรก็ขาดแคลน จึงเกิดการจัดประเภทผู้คนขึ้นมา โดยใช้ QR Code เป็นตัวแบ่งแยกชนชั้น คนเขตทั่วไป คนเขตพิเศษ และคนเขตศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม คนที่จะมี QR Code บนหลังมือมีจำนวนจำกัด และคนที่ไม่ได้รับเลือกก็ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาในฐานะผู้ลี้ภัย คนเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับโอกาสใด ๆ จากทางรัฐเลย ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด แต่มีอยู่อาชีพหนึ่งที่สามารถยกระดับให้ผู้ลี้ภัยกลายเป็นบุคคลที่มี QR Code อยู่บนหลังมือได้ นั่นก็คือ คนส่งของ ของในที่นี้คือออกซิเจนที่ใช้สำหรับหายใจ และเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต การเป็นคนส่งของจึงเป็นความหวังเดียวของคนชนชั้นผู้ลี้ภัยที่อยากจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่การจะเป็นคนส่งของก็ไม่ได้เป็นกันได้ง่าย ๆ
ในสถานการณ์เข้าตาจนแบบนั้น ลองคิดว่าถ้ามันเกิดขึ้นมาจริง ๆ ดูสิ คงไม่ใช่แค่เด็ก ๆ หรอกที่บ้าอะ เราก็บ้ากันทุกคนนั่นแหละ คนที่หิวโหย คนที่ไม่มีอากาศบริสุทธิ์หายใจ คนที่ไม่ถูกเลือก เลยต้องอยู่ชนชั้นผู้ลี้ภัย คนพวกนี้ก็ต้องพยายามเอาตัวรอดเหมือนกัน แบบในต้นเรื่องที่อธิบายว่าคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งกลายมาเป็นนักล่าและออกปล้นเอาอากาศและอาหาร เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิทธิมีเสียงและไม่ได้อะไรเลยทั้งที่เป็นพลเมืองเหมือนกัน แถมยังถูกกวาดล้างฆ่าให้ตายทีละเป็นร้อยเป็นพันคน จากพวกบ้าอำนาจที่อยากจะสร้างโลกที่ปราศจากผู้ลี้ภัย ทำไมมนุษย์เหมือนกันแต่ต้องมาตายอย่างน่าเวทนา เพียงเพราะเราแตกต่างกันด้วยชนชั้นที่ใครกำหนดขึ้นมาด้วย

มันเป็นยุคที่ผู้คนชนชั้นผู้ลี้ภัยไม่มีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว พวกเขาเลยสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าคนอื่นจะมองว่ามันเป็นเรื่องบ้าแค่ไหน หรือคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ต้องเป็นคนบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถ้ามันจะทำให้พวกเขามีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงตาย เพราะถ้าไม่ตายคือชีวิตดีขึ้นแน่นอน แต่ถ้าไม่รอดก็แค่ตายเท่านั้น ผู้คนมากมายทั้งจากเขตทั่วไปและผู้ลี้ภัยต่างก็ต้องแย่งชิงเข้าแข่งขันเพื่อให้ได้เป็น “คนส่งของ” ก็เพราะอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาเหมือนกัน อย่างพวกคนหนุ่มสาว พวกเขายังมีความหวัง พวกเขาเลยยอมที่จะบ้าแค่ไหนก็ได้เพื่อเอาชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเองมาเดิมพัน ให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นในสักวัน
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความเศร้าในใจนายมันมากมายล้นพ้นแค่ไหน แต่เมื่อหนึ่งวันผ่านไป มันจะลดน้อยลงเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น และเมื่อผ่านไปอีกวัน มันก็จะลดน้อยลงไปอีก

ชอบนะ ประโยคปลอบใจแบบข้างบน มันดูปล่อยวางดี 555 คืองี้ความเศร้าเนี่ย เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น แต่สัจธรรมก็คือถ้ามันจะเกิดกับใครก็ตาม คนคนนั้นก็หนีไม่พ้น เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนเรามักจะต้องแบกรับความเศร้าเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่าตรงที่ความเศร้ามักจะพุ่งเข้าหาเราทั้งที่เราไม่ต้องการ แต่ถ้าเราอยากจะสลัดให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเศร้า เรากลับต้องเป็นคนที่พยายามด้วยตัวเอง หรือแม้ว่าจะไม่ทำอะไร ปล่อยให้เวลามันค่อย ๆ เยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้น เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายยอมรับความจริง และอดทนอยู่กับมันให้ได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก เราจะหายเศร้าหรือไม่ หายเร็วแค่ไหน มีแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่จัดการได้

เวลาที่มีความเศร้า เราพยายามสลัดมันหลุดออกไปด้วยสารพัดวิธีหรือปล่อยวางกับมัน แบบมันอยากอยู่ก็ให้มันอยู่ไป เราก็พยายามใช้ชีวิตของเราปกติไป ให้เวลามันได้ทำหน้าที่ของมันในการเยียวยาเราให้ดีขึ้น คำที่ว่า “เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง” หลายคนสามารถพิสูจน์ได้นะว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ได้พูดแค่เอาเท่เอาคูลอะไร เพียงแต่แต่ละคนคงจะใช้เวลาในการสลายความทุกข์ไปให้หมดไปได้ไม่เท่ากัน เพราะเงื่อนไขของการใช้เวลาเยียวยาความเศร้า คือต้องปล่อยให้วันเวลาผ่านไปและผ่านไป โดยที่ความเศร้าจะลดลงเพียงนิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวแบบที่เราไม่รู้สึกเลยว่ามันลดลง ผ่านไปอีกวัน มันจะลดลงไปอีกนิดเดียว กว่าเวลาจะผ่านไปนาน ๆ เราก็หลุดพ้นช่วงที่เศร้าที่สุดมาได้เอง

การจะทำแบบนั้นได้ เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับความเศร้าอย่างเป็นมิตร มีเพียงแค่ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและยอมรับว่าเรากำลังเศร้าอยู่ จากนั้นปล่อยให้เวลาทำงานตามกลไกของมันไปในขณะเดียวกับที่เราก็ใช้ชีวิตของเราตามปกติ ไม่ต้องไปพยายามหาวิธีรับมือกับมันนักก็ได้ มันแทบไม่มีประโยชน์เวลาที่เราพยายามหาวิธีให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเศร้าเร็ว ๆ ทำไมน่ะเหรอ เพราะเราจะยิ่งเอาใจไปโฟกัสกับมันไงว่าต้องหายเศร้า ต้องดีขึ้น ต้องเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาทำให้ตัวเองดูวุ่นวายให้มาก ๆ จะได้ไม่มีเวลามานึกถึงความเศร้า แต่สุดท้ายเมื่อเราหยุดพยายาม ความเศร้ามันก็จะยังกลับมาอยู่ดี เพราะฉะนั้น ปล่อยให้มันอยู่ในแบบที่มันอยากจะอยู่ เราจะลืมมันไปเองเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านมา
โลกที่ทุกคนพึงพอใจไม่มีอยู่จริง

ดู ๆ แล้วมันก็เป็นซีรีส์ที่น่าหดหู่อยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะ ต้องชื่นชมการเนรมิตฉากทะเลทรายและฝุ่นควันต่าง ๆ ที่อลังการงานสร้างมาก มันสื่อถึงความดิสโทเปียได้โดยที่ยังไม่ต้องการปัจจัยอื่นมาเสริมทัพ แต่เรื่องของบทและเนื้อเรื่องน่าจะยังไปไม่ถึงเท่าไร ดูแล้วสนุกดีก็จริง แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่ไม่กลมกล่อม มีปมประเด็นหลาย ๆ อย่างที่ใส่เข้ามาในตอนต้นแล้วตอนท้าย ๆ ก็เหมือนกับว่าลืมมันไปเลย บางจุดน่าจะนำมาขยายเรื่องให้คนดูเข้าใจต่อได้ ตัวซีรีส์ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเท่าที่ควร บางส่วนก็ยังงง ๆ อยู่ว่าจะใส่มาทำไม การเล่าเรื่องค่อนข้างจืดและเดาทางง่าย ฉะนั้น ที่พอจะไปวัดไปวาได้ก็คืออารมณ์หดหู่จากโลกที่ไร้ความหวังนี่เอง
ทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงสร้างสภาพแวดล้อมในเรารู้สึกอึดอัดตามได้ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวซีรีส์พาเราเดินทางไปเห็นโลกในอนาคตที่มันดูจะไม่ไกลเกินจริงเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เหมือนเราจะโดนธรรมชาติเล่นงานกันอย่างหนักหน่วงขึ้นทุกปี ลองนึก ๆ ดูสิว่าทุกวันนี้เราโดนเล่นงานกันหนักแค่ไหน ตั้งแต่โควิด-19 มานี่ก็เข้ามาปีที่ 4 แล้วยังไม่จบเลย สถานการณ์โลกร้อน อุณหภูมิเมื่อช่วงเมษายนที่ผ่านมาน่าจะพิสูจน์ให้เห็นแล้ว รวมถึงมลพิษในอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน นี่ก็เดือดร้อนชัดเจนในทุกหย่อมหญ้า ยิ่งเห็นภาพชัดเลยว่ามันอาจเป็นไปได้จริง ๆ ที่ชีวิตเราใน 30-40 ปีข้างหน้าจะต้องสวมหน้ากากออกซิเจนแทนหน้ากากอนามัยกันแล้วมั้ง

ยัง ยังไม่หมด อย่าลืมปัญหาทางเศรษฐกิจที่ข้าวยากหมากแพงขึ้นทุกวันนี่ด้วย ซึ่งมันจะยิ่งแย่เข้าไปอีกถ้าวันหนึ่งเราต้องเจอนายทุนหน้าเลือดแบบในซีรีส์ที่ผูกขาดทุกอย่างไว้ในมือ มันเลยกลายเป็นอำนาจที่คนทำให้พวกนี้ลุกขึ้มาบ้าอำนาจเมื่อไรก็ได้ และพยายามที่จะกวาดล้างคนที่ตัวเองคิดว่าไม่คู่ควรที่จะอยู่บนโลกที่ตัวเองควบคุมทุกอย่าง
จริง ๆ มันก็ไม่ผิดนะที่ตัวร้ายพูดกับพระเอกว่าโลกที่ทุกคนพึงพอใจน่ะ มันไม่มีอยู่จริง เพราะคนที่เขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากที่สุด มีอิทธิพลมากที่สุด จนเผลอคิดว่าโลกทั้งใบเป็นของเขาเพราะเขาควบคุมมันได้ คนพวกนี้จะสร้างโลกที่ตัวเองพึงพอใจเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะอยู่ใครจะตาย แค่ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการก็พอ การสร้างซีรีส์ในลักษณะของโลกดิสโทเปียแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานของซีรีส์เกาหลีไปแล้วว่าต้องพยายามสอดแทรกความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่ากันของคนลงไปเพื่อให้มันมีประเด็นฮุกที่ชี้นำสังคมได้

ประเด็นของกลุ่มธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ถูกใช้เป็นคีย์เมสเสจหลักในการเล่าเรื่องความเหลื่อมล้ำในซีรีส์ จะเห็นว่าซองมยองกรุ๊ป หรือ CM Group มีสถานะแทบจะไม่ต่างจากพระเจ้า เป็นกลุ่มทุนที่สร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คนเกาหลีที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งก็คือแอร์คอร์ขนาดยักษ์ ในการใช้เปลี่ยนออกซิเอเนียมให้เป็นออกซิเจน สร้างโลกใต้ดินลงไป 5 กิโลเมตร ให้เป็นเขตศูนย์กลางที่มีอากาศบริสุทธิ์ได้หายใจโดยไม่ต้องใส่หน้ากาก แต่มีเฉพาะพรรคพวกของตนเองเท่านั้นที่จะได้อยู่ และครอบครองออกซิเจน จนมีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายและต่อรองกับทุกภาคส่วน ขนาดประธานาธิบดียังต้องนอบน้อมขนาดนั้น ส่วนคนชนชั้นอื่นก็ต้องไปหาเงินมาซื้อออกซิเจน
เราจะเห็นว่าพื้นที่บนพื้นดินคือความเลวร้ายที่สุดที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ เพราะแทบไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่แล้ว อากาศส่วนใหญ่ล้วนเป็นพิษ มันกลับเป็นพื้นที่ของผู้ลี้ภัย ชนชั้นที่ต่ำที่สุด ทว่าพื้นที่ส่วนใต้ดิน ถูกดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้อยู่ผู้คนอีกชนชั้นอาศัยอยู่ได้สะดวกสบาย ปลอดภัยจากอากาศเป็นพิษ นี่เป็นพื้นที่สำหรับชนชั้นสูง ยิ่งใต้ดินลึกลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งสะท้อนสถานะทางสังคมที่สูงมากขึ้นและอำนาจล้นฟ้าถึงสามารถลงไปได้ลึกขนาดนั้น เป็นสถานการณ์ที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับโลกปัจจุบัน เราต่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง รู้สึกไม่ยุติธรรมแต่ก็ต้องอยู่ ๆ กันไป เพราะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

จริงอยู่ที่ว่าสถานการณ์ของเรา ๆ ในเวลานี้มันยังไม่เลวร้ายแบบในซีรีส์ และก็ไม่คาดหวังให้มันไปถึงจุดนั้นด้วย แต่สิ่งที่เราคาดหวังกันก็คือมันอาจจะมีใครสักคนหรือกลุ่มคนสักกลุ่มที่พร้อมลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกคืนความยุติธรรมให้กับคนไร้อำนาจคนอื่น ๆ แบบพวกแก๊งคนส่งของที่มี 5-8 เป็นผู้นำ หรือบางทีอาจจะเป็นคนอย่างพวกเราเองนี่แหละที่ต้องรวมตัวกันลุกขึ้นทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความเท่าเทียมในฐานะที่เป็นคนเหมือนกัน ความเท่าเทียมมีจริงไหมไม่รู้ แต่ก็ต้องลองดูสักตั้งแหละ ทำให้มันเกิดสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงให้ได้♟