True to Love โค้ชสาวลงสนามเดตอีกครั้ง จะปังหรือพังเนี่ย?

ท่ามกลางความรู้สึกลังเลว่าจะดูซีรีส์เรื่องไหนดีตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่มีเรื่องหนักหน่วงให้ต้องรับรู้จนไม่อยากจะเสพเรื่องเครียด ๆ อะไรเข้าไปในหัวอีก ซึ่งนับรวมข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของศิลปินที่อาจจะไม่ใช่เมนตัวเอง แต่ก็เป็นคนที่เราติดตามผลงานของมาโดยตลอด และเห็นการเติบโตของเขามาเรื่อย ๆ บอกเลยว่ามันก็ทำให้ใจเสียเหมือนกัน วันนั้นทั้งวันสมองตื้อไม่ค่อยจะทำงาน ด้วยความที่คอลัมน์นี้มักจะคลั่งไคล้ศิลปินและนักแสดงเกาหลีอยู่บ่อย ๆ จึงขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันของ “มุนบิน” สมาชิกวงบอยกรุ๊ป Astro ที่ผ่านมาคุณคือรอยยิ้มของโลกใบนี้ หวังว่านับจากนี้ไป คุณจะเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้าตลอดไป

ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าอารมณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พร้อมจะดูซีรีส์ที่พล็อตหนักหน่วงเลย ใจจริงมองเรื่อง Queenmaker ไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ 11 ตอนจบมันออกจะทำร้ายสุขภาพมากไปหน่อย พอเจอการรีวิวจากพี่ที่ทำงานถึง 2 ท่านว่าสนุกดี ดูแล้วดูยาวยันจบ ทั้งที่ปกติพวกพี่ ๆ เขาไม่ใช่คนที่จะมาคุยเรื่องซีรีส์เกาหลีกับเราสักเท่าไร เลยคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องเปิดใจดูซีรีส์แนวแก้แค้นเครียด ๆ นี่ซะแล้ว

แต่เพราะใจที่ไม่ชอบซีรีส์พล็อตแก้แค้นเป็นทุนเดิม บวกกับอารมณ์หม่น ๆ ที่ไม่อยากดูอะไรหนัก ๆ หลังจากตัดสินใจเปิด Queenmaker ดูไปได้ 20 นาทีกว่า ๆ ฉันก็ปล่อยให้จอมือถือมันดูฉันนอนหลับแทน หลับแบบจริงจัง รู้สึกตัวอีกทีคือ 8 นาทีสุดท้ายก่อนจบอีพีแรก ที่คนอื่นเขารีวิวว่าสนุกกัน ดิฉันไม่รับรู้อะไรเลยจ้า รู้แค่ว่าตื่นขึ้นมาเพราะร้อน สุดท้ายเลยตัดสินใจดองซีรีส์เรื่องนี้ไว้ก่อน พร้อมเมื่อไรค่อยเจอกัน แล้วเลือกที่จะเปิดซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องใหม่ดูเพลิน ๆ รอมคอมยังไงก็ไม่รู้ เอาแต่อินจนน้ำตาซึมเฉย 555

True to Love เป็นเรื่องราวของโค้ชและอินฟลูเอนเซอร์ด้านการออกเดตผู้โด่งดังคนหนึ่ง เธอมีชื่อเสียงมาจากการเล่าเรื่องราวความรักของตัวเองลงบล็อก ต่อมาก็ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการออกเดตไปโดยปริยาย นอกจากนี้ เธอยังเป็นนักเขียนชื่อดังจากหนังสือขายดีที่สำนักพิมพ์ทั้งหลายต่างต้องการตัว ฟังดูเหมือนเธอจะต้องมีความรักที่ดีสนับสนุนแน่ ๆ เลย คือมันก็เกือบจะเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าเธอไม่จับได้ในท้ายที่สุดว่าเขาแทงข้างหลังเธอ จากนั้นมา ความรักของเธอก็ดิ่งลงเหวแบบติดลบ แถมยังมีชื่อเสียเป็นตราบาปติดตัวแล้วด้วย

ภาพจาก FB: ENA채널

ที่สำคัญ ตอนนี้เธอดันไปประทับใจชายหนุ่มปากร้ายที่เอาแต่ช่วยเหลือเธอยามคับขันเข้าให้แล้ว แม้ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาจะดูหยาบคาย จิกกัดทิ่มแทงคนอื่นเก่ง และไม่ค่อยจะแคร์หรือใส่ใจใคร แต่เธอสัมผัสความอบอุ่นและอ่อนโยนของเขาได้ หรือว่าโค้ชสาวที่เคยเละเทะในสนามจะลงสนามเองอีกครั้ง แล้วครั้งนี้จะปังหรือจะพังกันแน่!

การเดตต้องใช้เงิน เวลา ความรู้สึก และพลังงาน แต่มีโอกาสล้มเหลวสูง มันเป็นแค่สิ่งฟุ่มเฟือยที่คนเราต้องเหนื่อยยากกว่าจะได้มา มันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไป เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงที่ต้องเสียใจ เราเลยคิดกันได้ว่า “เดตงั้นเหรอ ไม่เห็นจำเป็นเลย”

เป็นประโยคที่ซีรีส์ใช้เปิดตัวนางเอก ซึ่งรับบทเป็นเลิฟโค้ชท่านหนึ่งได้แบบสุดปัง แถมยังสะท้อนทัศนคติด้านความรักของคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่ความรักในยุคเทคโนโลยีแบบนี้ มันมีตัวช่วยที่เอื้อต่อการมีความรักเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้คนที่อยู่คนละมุมโลกยังพบรักกันได้ แอปฯ หาคู่ ที่แค่นอนไถมือถือเล่น ๆ ฆ่าเวลาก็มีแฟนได้ สามารถนัดเจอกันเพื่อทำกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรก็ง่ายดายมาก เป็นอะไรที่คนรุ่นก่อน ๆ งงเป็นไก่ตาแตกว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วย สมัยที่ฮอร์โมนยังพลุ่งพล่าน พวกเขาอาจจะใฝ่ฝันถึงอะไรแบบนี้ แต่เชื่อเถอะว่าการมีอะไรแบบนี้ในยุคสมัยนี้ มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายของคนสมัยก่อนมากพอสมควร

ภาพจาก FB: ENA채널

เทียบกันง่าย ๆ เลยนะ คนสมัยนี้สามารถที่จะติดต่อกับคนรัก คนคุย หรือคนที่อยู่ในสถานะไหนก็ตามได้ง่ายมาก ๆ ง่ายและเร็วจนมันกลายเป็นดาบสองคมอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้นั่นแหละ เรามีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วและสะดวกสบายสุด ๆ ทำให้เราไม่ต้องเขียนจดหมาย ส่งและรอฉบับตอบกลับวนไปครึ่งค่อนเดือน ไม่ต้องโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์เพื่อให้พนักงานส่งข้อความเลี่ยน ๆ (ที่ไม่อาจเป็นความลับ) เข้าเพจเจอร์ ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเหรียญบาทเพื่อหยอดตู้ คุยได้ 2 คำเงินหมด รวมถึงไม่ต้องเสียเงินสักบาทสำหรับการติดต่อใครสักคนด้วยซ้ำ แอปฯ แชตสำหรับส่งข้อความฟรีมีตั้งมากมาย มีฟังก์ชันโทรออกด้วย ไม่มีเงินเติมเน็ตก็หา wi-fi ฟรีใช้เอา

ทั้งที่การจะมีความรักกับใครสักคนในยุคนี้สมัยนี้เป็นเรื่องที่โคตรจะง่าย อะไรต่ออะไรก็เอื้อ อีกทั้งความรักก็จัดอยู่ในความต้องการของมนุษย์ด้วย ใคร ๆ ก็อยากมีความรัก อยากจะเป็นที่รักของใครสักคน ต้องการการยอมรับ ต้องการความเป็นเจ้าของ แต่ทำไมทัศนคติด้านความรักของคนยุคใหม่ถึงได้สวนทาง ขนาดโค้ชด้านการออกเดตอย่างนางเอกยังบอกเลยว่าการมีความรักเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย นั่นเป็นเพราะว่า “ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ”

ภาพจาก FB: ENA채널

พูดง่าย ๆ ก็คือคนยุคใหม่ไม่ได้เอาแค่ความรักเป็นที่ตั้งอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักถึงประเด็นทางสังคมอื่น ๆ ที่อยู่วงนอกถัดจากความรักออกมามากกว่าแต่ก่อน ทั้งเรื่องเพศทางเลือก ปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าปากท้องไม่อิ่มก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไปทุ่มเทความรักให้ใคร การทำงานหนัก รูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นพิษเป็นภัย แค่ทำงานก็หนักหนาสาหัสมากพอแล้ว ยังต้องกลับมาเจอคนที่เอาแต่บั่นทอน มิได้นำพากำลังใจใด ๆ มาให้อีก ที่สำคัญคือปัญหาอาชญากรรม ทุกวันนี้แค่เข้าไปขอเบอร์ขอไลน์แล้วเขาไม่ให้ เขามีแฟนแล้ว ก็แค้นถึงขั้นทำร้ายกัน ไหนจะข่าวฆ่ากันตายรายวันอีก ฉันรักเธอจนไม่อาจเสียเธอให้ใคร แต่ถามหน่อยเถอะ คนรักกันจริง ๆ เขาจะฆ่าแกงกันทำไมก่อน

มันก็เลยเป็นอย่างที่นางเอกพูดนั่นแหละ การออกเดตกับใครสักคนมันต้องใช้ทั้งเงิน ใช้เวลา ใช้ความรู้สึก ใช้พลังงาน ทั้งที่ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักขนาดนั้น แต่กลับมีโอกาสล้มเหลวสูงมาก เมื่อความสัมพันธ์พังทลายลง เราจะรู้สึกว่าที่เคยทุ่มเทมากุกอย่างมันช่างสูญเปล่า เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความเสียใจไปแล้ว หลายคนเริ่มกลับมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าถ้าไม่มีความรักในรูปแบบนั้นคนเราจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ซึ่งพวกเขาค้นพบว่าอยู่ได้สบายมาก มันอาจจะเหงาและโดดเดี่ยว แต่การจัดการเรื่องเล็ก ๆ พรรค์นั้นช่างง่ายดาย! จัดการความรู้สึกตัวเองง่ายกว่าไปวุ่นวายกับคนอื่น!

ภาพจาก FB: ENA채널

จุดนี้นี่เองที่ทำให้ใครหลายคนเลิกขวนขวายที่จะมีความรักและการออกเดต ความรักคือสิ่งจำเป็น แต่มันไม่จำเป็นว่าต้องเป็นความรักฉันชู้สาวก็ได้นี่ มันจึงได้กลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่มีก็ดีไม่มีก็ได้ ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะมีขนาดนั้น และเป็นเรื่องที่คนเรา (คนอย่างฉัน) ไม่จำเป็นที่จะต้องทนเหนื่อยยากเพื่อให้ได้มา มันไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป ในเมื่อเราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีความรักประเภทนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงที่จะต้องเสียใจด้วยซ้ำ อนาคตของตัวเองก็ยังไม่แน่ไม่นอน คนก็เลยยอมแพ้กับเรื่องการเดตที่มันไม่คุ้มค่าเวลาชีวิต หันไปทำงานเงินเดือนสูง ๆ เก็บเงินซื้อบ้านที่ราคาพุ่งทะยาน ไม่มีเวลาที่จะมาลำบากออกเดตอีกต่อไป การเดตจึงไม่จำเป็น

ก็ฉันเป็นโค้ชด้านการเดต ไม่ใช่ผู้เล่นที่ต้องลงสนามนี่คะ เคยเห็นโค้ชฟุตบอลลงไปเตะบอลเองไหมล่ะคะ

ก่อนอื่นขออวยสกิลฝีปากของนางเอกเรื่องนี้ว่าตัวแม่ตัวมัมตัวมารดาสุด ๆ ก็นะ ถ้าฝีปากคม ไหวพริบต่อล้อต่เถียงแบบทันควันไม่ได้ ก็คงจะมาเป็นโค้ชด้านการออกเดตไม่ได้เหมือนกัน พวกที่ตั้งตัวเป็นโค้ชต้องมีทักษะในการพูดโน้มน้าวใจเก่ง พูดตะล่อมให้คนอื่นค่อย ๆ เปลี่ยนใจมาเห็นด้วยเป็น นี่เป็นสกิล (จัดจ้าน) ธรรมดา ๆ ที่คนทำงานด้านนี้ต้องมี ที่สำคัญอีกอย่างที่คนที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ถึงตอนล่าสุดคงจะพอจับได้บ้างแล้ว ว่าสิ่งที่อยู่ในใจลึก ๆ ของนางเอกนั้นไม่ธรรมดาเลย และมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอจะกำลังพยายามทำตัวเข้มแข็ง ยอมหักไม่ยอมงอ แพ้ไม่เป็น เพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง

ภาพจาก FB: ENA채널

จริง ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยการให้ตัวละครนางเอกนึกคิดอยู่คนเดียวในใจค่อนข้างเยอะทีเดียว เราจะเห็นว่าเธอมักจะนึกคิดและพูดกับตัวเองในใจบ่อยมากถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เธอเจอ และเธอก็จะพยายามเน้นย้ำกับตัวเองเสมอว่าการร้องไห้หรืออ่อนแอให้กับความรักที่พังทลายแปลว่าเธอแพ้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เธอพูดเสมอเวลาที่แนะนำคนอื่น ๆ ด้วย เอาเข้าจริง มันค่อนข้างที่จะดูออกนะว่าเธอแอบมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ตรงที่เธอพยายามที่จะเป็นผู้หญิงที่มีความรักที่เพอร์เฟกมากพอที่จะกล้าเป็นโค้ชสอนความรักให้คนอื่น รวมถึงมีความคาดหวังอย่างสูงว่าตัวเองจะถูกขอแต่งงานเร็ว ๆ นี้ การจะเป็นโค้ชรักที่น่าเชื่อถือ ชีวิตรักของตัวเองก็ควรจะประสบความสำเร็จอย่างพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาความรักของคนอื่นที่เธอให้คำปรึกษา เธอมักจะบอกเสมอว่าถ้าเจอกับความสัมพันธ์ที่มันมีอะไรไม่เข้าท่า ก็จงพาตัวเองออกมาซะ รวมถึงการที่บอกใครต่อใครว่าเป้าหมายของการคบหาดูใจมันไม่ใช่เรื่องของการแต่งงาน แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการทำความรู้จักใครสักคนที่จะไม่นึกเสียใจภายหลังต่างหาก แต่พอเป็นเรื่องตัวเอง มันกลับเป็นไปอย่างที่พระเอกปรามาสไว้ เขาเคยบอกว่าคนแบบนางเอกคือคนที่เก่งแต่เรื่องคนอื่น แต่เรื่องตัวเองเอาตัวไม่รอด และสิ่งที่น่าอายที่สุด ก็คือการที่พระเอกดันเป็นพยานปากเอกในเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลของคนที่เป็นโค้ชด้านการออกเดตนั่นเอง

การเป็นโค้ชด้านความรักของนางเอกนั้น เอาจริง ๆ มันก็ค่อนข้างสะท้อนเรื่องความรักของคนทั่วไปในสังคมนั่นแหละ ปกติคนที่มักเป็นที่ปรึกษาด้านความรัก ถ้าไม่ใช่คนที่มั่นใจมาก ๆ ว่าความรักของฉันดี ความรักของฉันนั้นเพอร์เฟก มีความรักดีงามในแบบที่มำให้คนอื่นอิจฉา ประสบความสำเร็จในเรื่องความรักมามากพอถึงเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้คนอื่นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือมีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จนั่นแหละถึงได้ดูน่าเชื่อถือ แต่ถ้าไม่ใช่ประเภทนี้ก็จะเป็นอีกประเภทที่อยู่ขั้วตรงข้ามไปเลย คือพวกที่ออกจะแอนตี้ความรักเพราะเคยเจ็บปวดมาก่อน กับพวกที่โสดมาตลอด ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน

ภาพจาก FB: ENA채널

แต่คนในกลุ่มนี้ก็อาจจะแบ่งย่อย ๆ ได้หลายแบบ คืออาจจะเป็นคนที่เข้าใจในสัจธรรมที่ว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์อย่างถ่องแท้ คนกลุ่มนี้อาจจะแอนตี้ความรักไปเลยหรืออาจจะแค่ไม่เชื่อในความรักเฉย ๆ ก็ได้ คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องลองมีประสบการณ์ความรักที่ล้มเหลวด้วยตัวเอง แค่อาจจะเคยเห็นความทุกข์ของพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก มีปมเรื่องครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เลยไม่อยากจะลงเอยแบบนั้น หรืออาจจะฟังเรื่องราวความรักที่ล้มเหลวของคนอื่นมานับไม่ถ้วนแล้วตกตะกอนได้เอง ประสบการณ์เลวร้ายพวกนั้น แค่ฟังหรือเห็นยังเจ็บปวดเลย จะเอาตัวเองเข้าไปลองของทำไม การมองจากที่ไกล ๆ ด้วยสายตาคนนอก มันทำให้พวกเขาเห็นในภาพรวมในวงกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมีความรักมักไม่เห็น

ส่วนอีกแบบก็คือคนที่เคยเจ็บปวดเพราะความรักมาก่อน กลุ่มนี้อาจจะเข้าขั้นแอนตี้ความรักไปเลย เพราะพวกเขาเคยประสบพบเจอด้วยตัวเองมาแล้วว่าการมีความรักไม่ใช่แค่เป็นทุกข์ แต่มันคือเรื่องเลวร้ายมาก เลวร้ายจนถึงขั้นไม่อยากให้คนอื่น ๆ มีความรัก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเจอสิ่งที่ตัวเองเคยเจอ พวกเขาค่อนข้างรู้ว่าสถานการณ์ก่อนที่มันจะเลวร้ายนั้นมันมีแพตเทิร์นอย่างไร เลยมองโลกในแง่ร้ายไปก่อนเสมอเวลาที่เจอเค้าโครงความรักที่คล้าย ๆ กัน อ้อ! แล้วก็มีคนอีกกลุ่ม กลุ่มที่โดนปฏิเสธความรักเสมอ บุคลิกแบบที่ไม่เป็นที่นิยมของใคร เพื่อไม่ให้รู้สึกขี้แพ้ กลบความผิดหวังของตัวเอง จึงต้องปลอบใจตัวเองว่าตัวเองไม่สนใจในความรัก ที่โสดเพราะเลือกที่จะโสดเอง ไม่ใช่ไม่มีใครเอา ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ ตราบใดที่ไม่ได้ไปหลอกลวงคนอื่น คิดแบบไหนแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ เราต้องรักษาหัวใจตัวเองก่อน

ไม่ว่าคนที่ทำตัวเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้กับคนอื่น ๆ จะมีชีวิตรักของตัวเองเป็นแบบไหนก็ตาม แต่ท้ายที่สุด เมื่อความรักของตัวเองมีอุปสรรคขึ้นมา ก็กลายเป็นว่าเอาเรื่องตัวเองไม่รอดอยู่เสมอ ปลอบคนอื่นเก่งว่าอย่าร้องไห้ แต่ตัวเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ บังคับต่อมน้ำตาตัวเองไม่ได้ ยุให้เลิกเก่ง กับคนแบบนั้นรีบ ๆ เลิกซะ แต่ตัวเองก็มีคนในใจที่ไม่เคยตัดใจได้ หรือเจ็บปวดแค่ไหนก็พยายามประคับประคองความสัมพันธ์ไม่ยอมเลิก ตำหนิเก่งว่าชอบใจอ่อนไปคืนดี แต่ตัวเองก็ใจเหลวเป๋วถ้าถูกคุกเข่าง้อ หรือห้ามเพื่อนไม่ให้รับโทรศัพท์ที่โทรมาง้อ แต่ตัวเองเอาแต่จ้องโทรศัพท์รอใครคนนั้นโทรมา และอีกสารพัดสิ่งที่โค้ชที่เคยห้ามแต่แสดงออกสวนทางกับที่เคยพูดไว้

ภาพจาก FB: ENA채널

มันอาจจะชัดเจนในตัวเองแล้วแหละว่าทำไมโค้ชเขาถึงไม่ลงสนาม เพราะลงไปแล้วก็คือพังยับเยิน การเป็นโค้ช เรามองจากนอกสนามเข้าไปในสนาม เราเห็นภาพมุมกว้าง เราเห็นอะไรที่มันอยู่นอกกรอบสนามด้วย เห็นทุกสิ่งอย่างในภาพรวม เราเลยพอจะพูดได้บอกได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ปลอบคนอืนได้ว่าอะไรที่ต้องตัดใจและลืมมันไป แต่พอเราลงไปในสนาม เราจะเห็นแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น มุมในการมองมันแคบลง แคบจนไม่เห็นตัวเองด้วยซ้ำในบางที ความรักถึงทำให้คนตาบอดได้ไงล่ะ

ต่อให้เธอทำอะไรผิดก็เถอะ คนไปรุมซ้ำเติมคนคนหนึ่งขนาดนี้ได้ยังไง

ภาพจาก FB: ENA채널

ยุคนี้มันเป็นยุคที่คนค่อนข้างขาดวิจารณญาณ ยุคที่คนติดกับดักอยู่แต่ในห้องเสียงสะท้อนของตัวเอง ฉันทำแบบนี้ได้เพราะมันเป็นสิทธิ์ของฉัน จะพูดแค่สิ่งที่ตัวเองอยากพูด จะฟังแค่สิ่งตัวเองอยากฟัง จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อ แล้วก็ตัดสินง่าย ๆ ผิดถูก ขาวดำ เดี๋ยวนั้นเลยทันที แทบจะไม่พิจารณาถึงสิ่งอื่น ๆ ที่มันมีปัจจัยส่งเสริมกันประกอบเลย กับบางเรื่องที่คนเราสามารถทำผิดกันได้ เป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาสาหัสอะไรที่จะได้รับการให้อภัย ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่ในการสำนึกผิดและปรับปรุง หรือแม้แต่โอกาสที่จะให้ข้อมูลอีกด้าน ทุกสิ่งจบลงตั้งแต่ทำผิดพลาดแล้ว

อันที่จริง การถูกกล่าวโทษและต่อว่า เป็นวิธีการลงโทษจากสังคมอย่างหนึ่งต่อสมาชิกในสังคมที่ทำผิด ถึงอย่างนั้น มันก็ควรจะมีขอบเขตเฉพาะในสิ่งที่คนผู้นั้นกระทำผิด ไม่ใช่การรุมสาปส่งและพ่นแต่ความคิดเห็นที่แสดงความเกลียดชังนอกเหนือจากความผิดที่เขาทำ แต่ละคำที่ใช้ในการซ้ำเติมคนอื่นนี่เหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน มันมีจริง ๆ นะ คนที่ชอบผสมโรงด่าคนที่ตัวเองเคยไม่ชอบหน้า ไม่ถูกชะตา อิจฉา หรือหมั่นไส้มานาน ตอนที่เขาทำดีมาตลอดก็พยายามจะหาเรื่องขึ้นมาเหน็บแนม แต่ไม่มีใครสนใจเพราะภาพที่คนอื่นเห็นมันไม่ใช่แบบนั้น ดีไม่ดีทัวรย้อนกลับมาลงตัวเองอีก คนพวกนี้จะรอทีเผลอ หรือไม่ก็หาจังหวะโจมตี พอเขาล้มปุ๊บ ก็สาวเท้าเข้าไปรุมกระทืบซ้ำให้จมดินปั๊บ

ภาพจาก FB: ENA채널

ในอีพีที่ 4 ยังเป็นอีพีที่นางเอกฉันต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายไม่จบไม่สิ้น แถมยังเละเทะสุด ๆ จนนี่อาจกลายเป็นจุดจบของเดโบรา โค้ชด้านเดตชื่อดัง เธอดับลงแล้ว ชื่อเสียงพังป่นปี้ เหลือแต่ชื่อเสียที่ถูกพูดถึงอย่างรุนแรงในช่องคอมเมนต์ กลายเป็นคนขี้แพ้และคนล้มเหลวเพียงชั่วข้ามคืน เป็นชีวิตแบบพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกของแท้ อันที่จริงมันก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน เธอพังจากเรื่องหนึ่งจนเมามายขาดสติขนาดนี้ แล้วสุดท้ายเธอก็ต้องจ่ายให้กับผิดพลาดนี้อย่างมหาศาล ขนาดเพื่อนพระเอกยังบอกเลยว่าแม้แต่คนทรยศยังไม่โดนขนาดนี้ แถมยังโหดร้ายมากด้วย ทุกวันนี้คนเราสามารถที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติมคนคนหนึ่งได้เลวร้ายขนาดนั้นเลยแหละ เอาให้จม ไม่ต้องผุดต้องเกิด

ก็นะ ด้วยความนางเอกที่ใช้สถานะคนดังทำมาหากิน การมีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องแลก คนอื่นอาจจะทำได้ แต่สำหรับคนที่อยู๋ในแสงไฟ คนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ความคาดหวังของสังคม การทำอะไรแบบไม่คิดหรือคิดน้อยจนกลายเป็นความผิดพลาด สามารถกลายเป็นการฆ่าตัวตายได้ในพริบตา โดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วมาก แถมทุกคนมีอุปกรณ์บันทึกความผิดคนอื่นติดตัวกันตลอดเวลาทุกคนด้วย การพูดอะไรผิดไปแค่คำเดียวอาจถูกฝังกลบได้ในพริบตา ภาพเสียพร้อม แล้วประเด็นคือนางไม่ได้พูดแค่คำเดียวไง ก็ต้องรอดูว่านางจะฟื้นคืนชีพกลับมายังไง แล้วตัวต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างจะได้รับผลของการกระทำไหม และที่สำคัญคือ อยากเห็นพระเอกตอนตกหลุมรักนางเอกแล้วอะ

ภาพจาก FB: ENA채널

จากซีรีส์ที่ตั้งใจจะดูเอาฮาด้วยการโปรยมาเป็นซีรีส์แนวรอมคอม กลายเป็นซีรีส์ที่ทำให้ฉันน้ำตาซึมไม่หยุดเลยมาตลอด 4 อีพี ปัญหาความรักของหนุ่มสาวที่ถูกหยิบยกมาเล่าผ่านตัวละครต่าง ๆ ในซีรีส์เรื่องนี้เป็นอะไรที่อาจทำให้คุณ ๆ ได้เห็นตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย เพราะบทเรียนเกี่ยวกับความรักที่ตัวนางเอกมักจะพูดผ่านการเป็นโค้ช ล้วนเป็นสิ่งที่คนเขียนบทเขากลั่นกรองมาแล้วว่ามันนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ตัวละครและความสัมพันธ์ของตัวละคร เป็นเรื่องใกล้ตัวคนดู มันสามารถเชื่อมโยงกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี ดูแล้วรู้สึกอินตาม อย่างที่บอกแหละ คุณจะเห็นตัวคุณเองหรือเรื่องราวความรักของคุณ สะท้อนอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ ❤️‍🩹