อาการหัวใจหยุดเต้นส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า หรืออาจมีอาการเจ็บหน้าอกเฉพาะที่ หากคนในครอบครัว คนใกล้ตัว หรือพบคนหมดสติจากสภาวะหัวใจหยุดเต้น สิ่งที่ต้องทำโดยเร็วที่สุดคือการช่วยชีวิตอย่างถูกวิธี เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด
“ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” คืออะไร
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เมื่อเกิดภาวะนี้ จะไม่มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะผิดปกติ ซึ่งอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการทำงานของสมอง เมื่อไม่มีเลือดมาเลี้ยงก็ทำให้หมดสติ การช่วยเหลือจึงจำเป็นต้องทำอย่างทันท่วงที
เราพบ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ได้บ่อยแค่ไหน
ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่มีการเก็บสถิติการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันที่ชัดเจน แต่จากข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ามีการเกิดภาวะนี้มากถึงปีละ 300,000-400,000 ราย โดยจะพบมากในกลุ่มที่เป็นนักกีฬา
“สาเหตุ” ที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่แล้วการเกิดภาวะนี้ก็เนื่องมาจากการที่หัวใจเต้นผิดปกติ ที่เรียกว่า Ventricular Fibrillation ซึ่งในภาวะปกติ หัวใจจะผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวเป็นจังหวะ เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่เมื่อหัวใจเต้นผิดปกติชนิด Ventricular Fibrillation กระแสไฟฟ้าที่ส่งออกจากหัวใจจะเร็วและไม่เป็นจังหวะ จนทำให้หัวใจไม่บีบตัวและเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงร่างกายได้ ผู้ป่วยจะหมดสติภายในไม่กี่วินาทีและเสียชีวิตได้ทันที
แต่เราอาจให้ความช่วยเหลือได้โดยการช็อกด้วยกระแสไฟฟ้า (Electrical Shock) จากเครื่องมือที่เรียกว่า Defibrillator ซึ่งเมื่อก่อนเครื่องมือชนิดนี้มีใช้แต่เฉพาะในโรงพยาบาลหรือรถพยาบาลเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเราอาจจะพบเครื่องมือชนิดนี้ที่สามารถใช้งานได้โดยทั่วไปที่เรียกว่า AEDs (Automatic External Defibrillators) ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น สนามบิน, โรงเรียน, สนามกีฬา หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้า
“ใคร” คือกลุ่มเสี่ยง
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันมักจะเกิดในคนที่ดูปกติและไม่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจมาก่อน ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขาเหล่านั้นมักจะมีโรคหัวใจแฝงอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ คือ
- หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง และสูบบุหรี่
- กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง (low ejection fraction EF) Ejection Fraction คือการวัดปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจในการบีบตัว 1 ครั้ง ซึ่งคนปกติหัวใจจะบีบตัวให้เลือดสูบฉีดออกไปต่อครั้งประมาณ 50-70% (EF 50-70%) แต่ในคนที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จะมีการบีบตัวที่น้อยกว่า 35% (EF < 35%) และในผู้ป่วยที่อายุน้อย โดยเฉพาะที่น้อยกว่า 30 ปี มักเกิดจากความผิดปกติในทางเดินกระแสไฟฟ้าของหัวใจ เช่น Congenital long QT syndrome (LQTS) ความผิดปกติที่กล้ามนื้อหัวใจ เช่น Hypertrophic Cardiomyopathy ความผิดปกติที่หลอดเลือดโคโรนารีที่เลี้ยงหัวใจ (Abnormalities of coronary arteries)
อาการหัวใจหยุดเต้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดจากโรคหัวใจ โดยเฉพาะอาการลิ่มเลือดอุดตันหรือเส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน จากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดตีบหรืออุดตัน เฉียบพลัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากขาดการรักษาอย่างทันท่วงทีจะส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นได้ หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง อาจเต้นช้าหรือเต้นเร็วผิดปกติ หรือทั้งเต้นช้าและเต้นเร็วสลับกัน อาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ และกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติตั้งแต่กำเนิด สามารถพบได้ในคนที่มีอายุน้อย เกิดขึ้นบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่าง ผนังหัวใจจะหนามากจนปิดกั้นการสูบฉีดเลือด ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง จนทำให้หัวใจหยุดเต้นฉับพลันได้
ส่วนใหญ่แล้วอาการหัวใจหยุดเต้นจะไม่มีสัญญาณเตือน แต่อาจจะมีอาการเจ็บ แน่นหน้าอก ร้าวไปที่แขน หรือเจ็บบริเวณลิ้นปี่ โดยอาการจะเกิดขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงอย่างขึ้นบันได เดิน รวมถึงตกใจสุดขีด โดยจะเกิดร่วมกับอาการเหงื่อออก ใจสั่น หน้าซีดคล้ายจะเป็นลมหรือหมดสติ โดยถ้าเห็นคนจะเป็นลม แน่นหน้าอก เหงื่อแตก ล้มฟุบ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีภาวะหัวใจหยุดเต้น ควรรีบเข้าไปช่วยเหลือทันทีตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ได้แก่
- ขั้นตอนที่ 1 ตั้งสติและสังเกตดูความปลอดภัย ผู้ให้การช่วยเหลือต้องตั้งสติ พยายามไม่ตกใจ ดูเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นตรวจสอบก่อนเข้าช่วยเหลือ หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไฟฟ้าช็อต ไฟไหม้ ตึกถล่ม ห้ามเข้าไปช่วยเหลือโดยเด็ดขาด ควรรอดูสถานการณ์ให้ปลอดภัยแล้วเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมายังสถานที่ปลอดภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป
- ขั้นตอนที่ 2 เข้าให้ความช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้น จัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบบนพื้นแข็ง ปลุกเรียกผู้ป่วยด้วยเสียงดังและตบที่ไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อดูการตอบสนองว่าผู้ป่วยหมดสติหรือไม่ จากนั้นหากผู้ป่วยตื่นหรือรู้สึกตัว ให้จัดท่านอนตะแคง
- ขั้นตอนที่ 3 ฟังเสียงหายใจและดูจังหวะการหายใจที่หน้าอก เพื่อตรวจดูว่าผู้ที่หัวใจหยุดเต้นหายใจหรือไม่ โดยเอียงหูลงไปแนบใกล้ปากและจมูกของผู้ป่วยเพื่อฟังเสียงหายใจ ใช้แก้มเป็นตัวรับสัมผัสลมหายใจที่อาจออกมาจากจมูกหรือปากของผู้ป่วยและใช้ตาจ้องดูการเคลื่อนไหวที่หน้าอกของผู้ป่วยว่ากระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะหรือไม่
- ขั้นตอนที่ 4 ร้องขอความช่วยเหลือและโทรแจ้ง 1669 ว่ามีคนหมดสติ ไม่หายใจ ระบุสถานที่เกิดเหตุ ขอรถพยาบาลและเครื่อง AED พร้อมระบุชื่อและเบอร์โทรศัพท์คนที่ติดต่อ เพราะยิ่งช่วยได้เร็วยิ่งดี
- ขั้นตอนที่ 5 เริ่มทำ CPR หากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก ต้องปั๊มหน้าอกให้ลึกพอที่แรงกดจะไปเอาเลือดออกจากหัวใจได้ ซึ่งต้องกดลงไปบริเวณกระดูกหน้าอกลึกลงไปประมาณ 2 นิ้ว เพื่อให้แรงมากพอที่จะทำให้เลือดในหัวใจบีบออกมาและจังหวะต้องเหมาะสมคือประมาณ 100 ครั้งต่อนาที
ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจหยุดเต้นจะมีเวลาอยู่ที่ประมาณ 4- 5 นาที ไม่ควรเกินกว่านี้ เพราะจะทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงสมองและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์หรือความเสี่ยงดังกล่าว ควรได้รับการตรวจเช็กสุขภาพหัวใจเป็นประจำทุกปีและควรเตรียมตัวให้พร้อมเสมอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ