The First Responders ภารกิจเสี่ยงตาย ทุกวินาทีมีชีวิตเป็นเดิมพัน

“ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณจะนึกถึงใครเป็นคนแรก คนที่เขาสามารถให้ความช่วยเหลือคุณได้!” จริง ๆ แล้วคำถามนี้น่าจะเป็นคำถามพื้นฐานที่เราทุกคนควรนึกสงสัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้การใช้ชีวิตประมาทจนเกินไป แต่ก็อย่างว่า สถานการณ์ต่าง ๆ มันมีตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้อยู่เสมอ การช่วยเหลือที่เราร้องขอจะได้รับการตอบสนองเร็วแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่านโยบายใหญ่ระดับประเทศสนใจเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแค่ไหนด้วย คนที่มีประสบการณ์การโทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายฉุกเฉิน แต่ความช่วยเหลือมาในตอนจบแบบละครไทยก็น่าจะทราบดีแหละ ว่าความรู้สึกเป็นยังไง บางคนไม่ได้รับความช่วยเหลือ และต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนช่วยชีวิตตัวเองด้วยซ้ำไป

เราจะหยุดเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นแต่เพียงเท่านี้ เพราะพื้นที่นี้ควรโฟกัสที่ซีรีส์ใหม่มากกว่า สำหรับซีรีส์ที่จะมาป้ายยาในสัปดาห์นี้ บอกเลยว่ามันค่อนข้างใกล้ตัวกับชีวิตของคนเรามาก เรื่องฉุกเฉิน เหตุด่วนเหตุร้าย สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แล้วเวลาที่เราขรอความช่วยเหลือ เราจะรู้ดีว่าความรู้สึกแบบที่กำลังจะตายอยู่ตลอดเวลามันเป็นอย่างไร ซีรีส์เรื่องนี้จะนำเสนอในมุมนั้น รวมถึงการทำงานแบบมืออาชีพของคนที่มีหน้าที่การงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ภาพจาก FB: SBS

ถ้าร่างกายของคุณต้องการซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวน ที่มีฉากแอคชันเร้าใจ ลุ้นระทึก กระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดล่ะก็ The First Responders คือตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งในช่วงเวลานี้ ซีรีส์สายอาชีพที่นำเสนอเรื่องราวการทำงานของทีมตำรวจและทีมดับเพลิง ที่ต้องร่วมกันทำภารกิจกู้ภัยและไขปริศนาของคดี โดยทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ “เวลา” และยังมีอุปสรรคคือ “ความอันตราย” ที่คนเป็นผู้ช่วยเหลือก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เรื่องจะพาเราไปเจาะลึกการทำงานในสถานที่เกิดเหตุ เหมือนว่าเรายืนดูอยู่ตรงนั้นจริง ๆ

ภาพจาก FB: SBS

การเดินเรื่องจะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ที่จบในตอน แต่ว่าก็มีเส้นเรื่องใหญ่ของพระเอกที่เป็นตำรวจสายสืบ เขามีฉายาว่า “หมาบ้า” โดนย้ายไปประจำการแถบชานเมืองเพราะทำผิดวินัย ใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องหา และผู้ต้องหาคนนั้นกลับเป็นคนที่พ่อของเขา ซึ่งเป็นหัวหน้าอัยการยังต้องก้มหัวให้ มันจึงน่าจะเป็นเส้นเรื่องใหญ่ที่คุ้มค่าแก่การติดตามดูแน่นอน แถมยังมีปมปริศนาก่อนจบตอนทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับของพระเอกว่า “ถ้าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตำรวจ ก็คงเป็นฆาตกรต่อเนื่อง” อีกด้วย

อย่าเจอกันบ่อยเลย มีคดีใหญ่ที่ต้องทำงานร่วมกัน ไม่น่ายินดีหรอก

การเจอกันครั้งแรกของพระเอกกับทีมช่วยเหลือซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นไม่ได้อยู่ในจุดที่เรียกว่าประทับใจได้สักเท่าไรนัก ทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักกัน แต่ต้องมาทำงานใหญ่ด้วยกันในการช่วยเหลือชีวิตตั้งแต่ครั้งแรก เห็นหน้ากันยังถามเลยว่าคุณเป็นใคร แถมยังมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อยของลักษณะการทำงานที่ไม่ตรงกัน มีจุดประสงค์ต่างกันนิดหน่อย ทว่ามีเป้าหมายเหมือนกันในการช่วยชีวิตใครสักคน ถึงอย่างนั้นก็เชื่อได้ว่าการทำงานของทีมนี้จะเข้าขากันดีมาก ๆ ในภายภาคหน้า เพราะขนาดไม่รู้จักกันมาก่อนและมีเรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่พวกเขาก็ยังสื่อสารกันรู้เรื่องเพียงแค่มองตากันเพื่อส่งสัญญาณเท่านั้น และมันทำให้พวกเขาสามารถปกป้องชีวิตหนึ่งไว้ได้

ภาพจาก FB: SBS

จะบอกว่าชอบฉากการทำงานร่วมกันครั้งแรกของทั้ง 3 คนมาก คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เพิ่งถูกย้ายมาวันแรก เขายังไม่ทันได้เข้าไปแนะนำตัวกับใคร เหตุฉุกเฉินก็เกิดขึ้นก่อน ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่าเป็นหมาบ้า เพราะถ้ามีเหตุให้ได้กัดแล้วจะกัดจนจมเขี้ยว มุทะลุดุดัน ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน (แต่กลัวผี) ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น คนร้ายนั่นเอง ความเต็มที่กับงานของเขานี่แหละทำให้คนรอบข้างต้องกุมขมับ การพูดการจาก็ไม่เป็นมิตร แต่ฝีมือในการอ่านเกมเพื่อไขคดีนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาอ่านใจคนร้ายได้เหมือนเป็นคนร้ายเสียเอง แถมยังช่างสังเกต มีความว่องไวมากในการสำรวจที่เกิดเหตุ มีบุคลิกนิ่ง ๆ แต่ดันฮา ท่าทางยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างขั้นสุดด้วย

ภาพจาก FB: SBS

อีกคนเป็นนักผจญเพลิง เพื่อนบ้านของสถานีตำรวจเพราะมันอยู่ติดกัน คนที่ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังได้เพียงแค่ได้ยินเสียงไซเรนดังขึ้น มีทั้งความเป็นผู้นำและกล้าหาญ ถึงจะดูหัวรั้นอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ฟังที่คนอื่นพูด ภายนอกดูเย็นชา ปากร้ายไปสักหน่อย แต่ก็ใจดีกับทุกคน และมีจิตใจที่คิดถึงเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก่อนสิ่งอื่น และคนสุดท้าย (ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเรียกนางเอกได้ไหม เพราะดู ๆ แล้วไม่เห็นเส้นเรื่องความรักจากซีรีส์เรื่องนี้เลย) เป็นแพทย์ประจำทีมดับเพลิง คนที่มีหัวใจอบอุ่นมาก ในการช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย เธอจะพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้เสมอ เพื่อที่จะได้มีสติ พร้อมทั้งเข้าอกเข้าใจผู้เคราะห์ร้ายเป็นอย่างดี ทั้งแผลกายและสภาพจิตใจ

เปิดเรื่องมาแค่ 5 นาที ก็มีเหตุฉุกเฉินมาประเคนคนดูซะแล้ว ด้วยความที่มันเป็นซีรีส์ที่พูดถึงอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ช่วยเหลือคนแรก ๆ เมื่อคนเราเจอเข้ากับสถานการณ์ฉุกเฉิน ดราม่าของนาทีชีวิตที่ทั้งท้าทายและลุ้นระทึก ทำเอาเลือดสูบฉีดจัดหนักจัดเต็มแบบหมดแม็ก ต่างฝ่ายต่างต้องงัดกลยุทธและเทคนิคทางวิชาชีพของตัวเองออกมาใช้เพื่อช่วยเหลือเหยื่อ ซึ่งระหว่าง 2 อาชีพนี้มันมีความแตกต่างในการทำงาน นักดับเพลิงกับแพทย์อาจชัดเจนเรื่องช่วยเหลือเหยื่อ แต่ตำรวจต้องทั้งช่วยเหลือและจับคนร้ายด้วย จะยอมให้อย่างใดอย่างหนึ่งหลุดมือไม่ได้เด็ดขาด นั่นทำให้เกิดเรื่องให้พวกเขาต้องฟาดกันไปมา โดยมีชีวิตของเหยื่อเป็นเดิมพัน

พอเผาศพ หลักฐานก็ไม่เหลือแล้ว

อุปสรรคหนึ่งในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายทั้งหลาย คือการที่ญาติไม่ให้ความร่วมมือในการชันสูตรพลิกศพซ้ำเป็นครั้งที่สองหรือสาม ในกรณีที่ตายอย่างผิดธรรมชาติและได้ชันสูตรไปแล้วรอบหนึ่งเพื่อหาสาเหตุการตาย เหตุผลของญาติ อาจจะเพราะไม่ต้องการให้ร่างกายของคนที่ตัวเองรักต้องถูกกรีดด้วยคมมีด ถูกเย็บด้วยฝีเข็มไปมากกว่านี้ หรืออาจจะเพราะความเศร้าโศกเสียใจ โกรธแค้น หาคนผิด กำลังอยู่ในช่วง 5 ขั้นของความเสียใจที่คนที่รักจากไป จึงยอมรับความจริงไม่ได้และแสดงออกแบบต่อต้านไม่ให้ความร่วมมือ การนำศพไปทำพิธีกรรมทางศาสนา หรืออาจจะมีเจตนาปกปิดอะไรจริง ๆ ถ้าญาติไม่อนุญาตให้ทำ การทำงานของเจ้าหน้าที่ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก

ภาพจาก FB: SBS

เท่าที่ทราบ กรณีที่ญาติไม่อนุญาตให้มีการชันสูตรพลิกศพอีกเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม อาจต้องใช้กระบวนการการร้องขอทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่ต้องเดินเรื่องเพื่อขอให้มีการชันสูตรแม้ว่าญาติจะไม่ยินยอม ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีเหตุผล มีหลักฐานอันสมควร กฎหมายถึงจะอนุญาต เรื่องมันก็จะยิ่งวุ่นวาย ความบาดหมางใจของญาติและเจ้าหน้าที่ และที่น่ากังวลก็คือ เวลา เพราะสภาพศพจะเน่าลงเรื่อย ๆ และแม้ว่าจะพยายามถ่วงเวลาให้เน่าช้าลง แต่หลักฐานอื่น ๆ ในร่างของศพก็อาจจะค่อย ๆ สลายหายไปตามเวลาเหมือนกัน เป็นอะไรที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา

เหตุการณ์ที่เกิดในซีรีส์เรื่องนี้ก็ใกล้เคียงกัน กรณีของเด็กผู้หญิงที่กินยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่าตัวตาย ทว่าพระเอกของเราก็ไปได้หลักฐานจากโทรศัพท์มือถือของเหยื่อ ว่ามันจะไม่ใช่การฆ่าตัวตายธรรมดา กลิ่นของคดีมันทะแม่ง ๆ เกินไป เป็นไปได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังถูกข่มขู่จากใครบางคนอยู่ และอาจเป็นอาชญากรรมทางเพศ นั่นหมายความว่าเธออาจถูกข่มขืน การจะระบุตัวคนร้ายได้จึงต้องมีการตรวจหาร่องรอยอสุจิ แต่แม่ของเด็กเพิ่งสูญเสียลูกสาวไป แล้วไหนจะเรื่องที่ปฐมพยาบาลผิดพลาดอีกจนเป็นเหตุให้เด็กตายเร็วขึ้น มันจึงยากที่แม่เด็กจะให้ความยินยอม และถ้าแม่เด็กไม่ยอม พอทำพิธีทางศาสนา อย่างการเผาศพ หลักฐานก็จะไม่เหลืออยู่อีกต่อไป

ภาพจาก FB: SBS

เป็นเรื่องยากแหละ การทำงานของเจ้าหน้าที่อาชญากรรมรุนแรง และงานของพวกเขาจะราบรื่นมันก็ไม่ใช่แค่หาหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานแวดล้อมแล้วจะได้คำตอบ เพราะบางทีพยานหลักฐานที่สำคัญที่สุด ก็อยู่ที่ตัวของผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่เหล่านี้จึงไม่ได้แค่ทำงานกับคนป็น แต่พวกเขายังต้องทำงานกับคนตายด้วยในบางครั้ง

เห็นโทรศัพท์เป็นมันเทศหรือไง คิดว่าเอาเข้าไมโครเวฟแล้วจะเผาข้อมูลหมดเหรอ

ที่มาคร่าว ๆ ของข้อความข้างต้น ก็คือพระเอกและทีมสืบสวนบุกไปที่บ้านของผู้ต้องสงสัยคดีช่วยเหลือและสนับสนุนการฆ่าตัวตาย พอรู้ว่าตำรวจมาเคาะประตูบ้าน ผู้ต้องสงสัยก็เอาโทรศัพท์มือถือโยนเข้าไมโครเวฟหวังที่จะทำลายหลักฐาน แต่พระเอกก็เอาออกมาได้ก่อน สภาพภายนอกโทรศัพท์ที่เอาออกมาจากไมโครเวฟมันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนักหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าตำรวจจะเอาโทรศัพท์ไหม้ ๆ นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

และถ้าให้สรุปจากในเรื่องก็คือ เผาเสียหายหมดแหละ (ฮ่า ๆ) หรือจริง ๆ มันอาจจะไม่ได้เสียหายทั้งหมดก็ได้ แค่มันต้องใช้เวลากู้ข้อมูลคืน ซึ่งระยะเวลาที่คุมตัวผู้ต้องสงสัยกำลังจะหมดในไม่ช้า ทำให้กู้ข้อมูลไม่ทัน ต้องบอกว่ามันเป็นความฉลาดปราดเปรื่องของพระเอกที่จะง้างปากคนร้ายที่ยังเป็นผู้เยาว์ แต่คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่าตำรวจสายสืบที่มีประสบการณ์สูง เขาให้ทีมงานขนเอกสารตั้งเบ้อเริ่มเข้ามาในห้องสืบสวน พร้อมกับบอกว่ากองเอกสารที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นหลักฐานทางดิจิทัลที่กู้ได้จากโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น

ภาพจาก FB: SBS

ด้วยน้ำเสียงยียวนกวนบาทาของเขาระหว่างที่พูด กับสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนไม่เคยมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ทำให้คนดูคล้อยตามไปด้วยเลยว่าเอกสารปึกใหญ่ที่ขนมากองตรงหน้าเด็กคนนั้นเป็นข้อมูลหลักฐานทางดิจิทัลที่กู้ได้จากโทรศัพท์มือถือจริง ๆ แบบว่าเจ้าตัวพอเห็นเอกสารทั้งตั้งนั่นก็หน้าถอดสีเลยทีเดียว แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ งัดสิ่งที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับกฎหมายออกมาสู้และคิดว่าตัวเองรอดแน่ ๆ (เป็นเด็กเรียนดีและเป็นหัวหน้าห้องก็ไม่ได้การันตีว่าจะเป็นเด็กดี) แต่ผลสุดท้ายก็เอาชนะพระเอกหมาบ้าของเราไม่ได้หรอก กระดูกมันคนละเบอร์กัน

ตัวละครพระเอกคือเหนือชั้นมากจริง ๆ นี่ขนาดเป็นแค่คนดูนะยังหัวร้อนตามเลย พระเอกคือสุดยอดมากที่ควบคุมอารมณ์ให้ปกติในการคุยกับเด็กนรกนั่นได้ ไม่กระโตกกระตากให้โป๊ะแตกว่าจริง ๆ ตัวเองไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ก็ทำให้เด็กนั่นสารภาพออกมาจนหมดได้ แล้วเด็กนรกนี่ก็ทำกิริยาอาการน่าหยุมหัวมาก กับท่าทีมั่นอกมั่นใจมากว่าตัวเองจะไม่ถูกกฎหมายเอาผิดได้ แถมยังไม่มีความสำนึก คิดว่าการที่ตัวเองฆ่าเพื่อนตายทั้งคนเป็นแค่เรื่องขำ ๆ ที่ทำเพื่อคลายเครียดจากการเรียน แต่สุดท้ายก็โดนพระเอกต้อนจนมุม และถูกแจ้งข้อกล่าวหาอื่น ๆ ตามมาอีกเป็นพรวน ทั้งเสพติดการพนัน ฉ้อโกง บุกรุก อาชญากรรมทางเพศ แอบถ่ายและข่มขู่ โอ้โห! อายุน้อยร้อยคดีของจริง

ภาพจาก FB: SBS

จะบอกว่าจริง ๆ แล้ว การที่โทรศัพท์ถูกทำลายมันก็แค่ส่วนหนึ่งแหละ แต่หลักฐานทุกอย่างจะยังคงอยู่ ถ้ามันถูกนำขึ้นออนไลน์ หรือที่เราน่าจะเคยได้ยินกันว่า Digital Footprint มันคือรอยเท้าดิจิทัล ที่จะถูกทิ้งเอาไว้เสมอเมื่อเราเข้าสู่โลกออนไลน์ ขนาดการใช้แอคเคาท์อวตาร ไม่ได้ใช้ชื่อจริง ไม่ได้เปิดหน้า การตามรอยจาก Digital Footprint นั้นไม่ได้ยากเลยที่จะตามหาตัวตนที่แท้จริง โอเค มันอาจจะมีกรณีที่ตามเจอได้ยากหน่อย แต่ถ้าคนกู้ข้อมูลดิจิทัลเก่งมากพอ ไม่นานก็ตามรอยได้ เว้นแต่ว่าพวกที่ก่อเหตุก็เก่งด้านนี้เหมือนกันที่จะลบร่องรอยทุกอย่างได้หมดเกลี้ยง พวกข้อความแชตที่ถูกลบไปด้วยตัวผู้ใช้งาน ถ้ามีเอกสารขอความร่วมมือไปที่บริษัทผู้ให้บริการ ก็น่าจะมีบันทึกอะไรบ้าง

ซีรีส์พล็อตแบบนี้มันอาจจะไม่ได้หวือหวาก็จริงเพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เส้นเรื่องความรักก็ยังมองหาไม่เห็น แต่ความสนุกและความมันคือจัดเต็ม ลุ้นระทึก บีบหัวใจ และปวดสมองตามตัวละคร เวลาที่เราตั้งใจดูมาก ๆ ว่าตัวละครจะแก้ไขสถานการณ์ไปในทิศทางใด เหยื่อจะรอดหรือจะตาย อยู่ที่คนเหล่านี้ และด้วยความที่มันเป็นเรื่องราวที่เน้นความเรียล เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ในสังคม ทุกที่ทุกเวลา มันมีความใกล้ตัว รู้สึกสมจริงมาก มีทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องเครียดแต่มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะให้ได้ผ่อนคลาย แล้วมันเจ๋งตรงที่ไม่ใช่การตั้งใจเล่นมุกให้ดูตลกในสถานการณ์แบบนั้น มันเป็นบุคลิกและเคมีของนักแสดงมากกว่า 🚒🚑🚔