ข้อคิดจากนิทานเซน “แบกไว้ทำไม”

มีรุ่นพี่ท่านนึงที่สนิทสนมกับผู้เขียนเป็นอย่างมาก และได้ลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว เคยให้คำจำกัดความตัวผู้เขียนชนิดที่อธิบายตัวตนทุกอย่างได้อย่างชัดเจนว่า “ตั้งแต่ฉันรู้จักแกมา ฉันเพิ่งได้รู้ว่าโลกใบนี้มันเบี้ยวเพราะคนอย่างแก” เป็นคำจำกัดความที่ผู้เขียนนึกถึงทีไรแล้ว ก็นั่งหัวเราะกับพฤติกรรมที่สามารถใส่หัวใจสุนัขเบี้ยวนัด หรือแม้กระทั่งไปตามนัดแต่กลับก่อนแบบไม่บอกกล่าวของตนเองได้เป็นอย่างดี หากแต่ขอออกตัวหน่อยว่า ปัจจุบันนิสัยดังกล่าวได้รับการขัดเกลาให้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว (ฮา)

ระลึกถึงรุ่นพี่ท่านนี้ขึ้นมาเพราะในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีวิวาทะร้อนฉ่าในโลกโซเชียลมีเดีย อันทำให้นึกถึงนิทานเซน “แบกไว้ทำไม” ที่รุ่นพี่ท่านนี้เคยเล่าให้ฟัง วิวาทะดังกล่าวเริ่มกลายที่เป็นที่สนใจ เพราะเป็นคนดังทั้งคู่ โดยผู้ที่โพสต์ตั้งคำถามนั้นเรียกว่าเป็นเบอร์ใหญ่ของวงการสื่อและมากล้นด้วยคอนเนกชันระดับเอพลัส ส่วนรายที่ถูกตั้งคำถามนั้นเป็นคนดังที่ออกสื่อตลอดเวลา สร้างมูลค่าให้กับตนเองได้เก่งแต่คนในแวดวงเดียวกันจะรักเขาหรือไม่นั้นยังคงเป็นคำถาม (ฮา)

แล้วทำไมเหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงนิทานเซน “แบกไว้ทำไม” ก็ขอเล่าให้ฟังแบบสั้น ๆ ค่ะ นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องของพระภิกษุในนิกายเซนสองท่านที่มีแนวคิดและวิถีปฏิบัติต่างกัน ระหว่างหลวงพ่อตันซันที่เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัย กับท่านเอกิโต ที่เป็นพระผู้เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง ครั้งหนึ่งท่านทั้งสองออกเดินธุดงค์ร่วมกัน แล้วไปพบกับผู้หญิงที่แต่งตัวสวยงามพยายามจะข้ามแอ่งน้ำแต่ไม่สามารถทำได้

ทันใดนั้นหลวงพ่อตันซัน เดินเข้าไปอุ้มหญิงสาวคนดังกล่าวข้ามแอ่งน้ำนั้น พอพ้นก็วางผู้หญิงลง และเดินต่อไปกับท่านเอกิโต แน่นอนว่าท่านเอกิโต ซึ่งเป็นพระที่เคร่งครัดในวินัยไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรออกมาในระหว่างเดินธุดงค์ จนกระทั่ง ถึงเวลาหยุดพัก ท่านเอกิโตก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “พวกเราเป็นพระ ท่านไม่ควรไปอุ้มผู้หญิงแบบนั้น ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น”

หลวงพ่อตันซัน ตอบกลับหลวงพ่อเอกิโตไปอย่างเรียบเฉยว่า “เราได้วางหญิงสาวคนนั้นลงตั้งแต่ตอนข้ามแอ่งน้ำเมื่อเช้าแล้ว แต่นี่ท่านยังแบกเอาไว้จนถึงตอนนี้อยู่อีกหรือ”

นั่นคือนิทานเรื่อง “แบกไว้ทำไม” พอเอามาซ้อนทับกับจากวิวาทะที่เห็นในหน้าโซเชียลเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้โพสต์ระบุว่า “ไม่เคยคิดจะพูดเรื่องนี้” สำหรับผู้เขียนแล้วก็เปรียบเสมือนวาทะของหลวงพ่อตันซัน ที่จบเรื่องไปแล้วไม่ได้แบกเอาไว้ แต่เมื่อท่านเอกิโตถามก็ต้องตอบ และตอบด้วยความจริงที่เหมือนถามกลับคนที่พาดพิงว่า “ยังแบกเอาไว้อยู่อีกหรือ”

เอาเข้าจริง เรื่องในอดีตเมื่อมันจบลงไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรู้สึกอยากย้อนกลับไป เพราะ What If เกิดขึ้นไม่ได้ในชีวิตจริง และความพยายามจะแบกอดีตด้วยอีโก้ของตนเองพร้อมกับความพยายามพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้อง และสร้างภาพให้ตนเองเป็นพระเอกอยู่เสมอ ดูท่าว่าจะเหนื่อยกว่าท่านเอกิโตเสียอีก เพราะนอกจากจะต้องแบกอดีตเอาไว้ ยังต้องหลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ จนลืมไปแล้วว่าความจริงคืออะไร

ว่าแล้วเสียงรุ่นพี่ท่านนั้นก็ลอยมา “วงการนี้มันแคบแกไปทำอะไรไว้คนเขาบอกต่อกันหมด อย่าได้เที่ยวไปสร้างเรื่องเลยเชียว” ….. ด้วยความระลึกถึงนะพี่จิ๊บ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ