
นอกจากคะแนนนิยมของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะถดถอยชนิดที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว กระแสเรียกร้องให้ถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง จากกรณีที่มีส่วนรู้เห็นให้รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐฯ เมื่อปลายปีก่อน
ล่าสุด ผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกัน ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมอนมัธ ระหว่างวันที่ 13-16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีถึง 41 เปอร์เซ็นต์ที่เห็นว่า ทรัมป์ควรถูกถอดถอนและบังคับให้ออกจากตำแหน่งไปเสีย ซึ่งมากกว่าเมื่อครั้งมีการสำรวจความเห็นกรณีถอดถอน ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 37 ออกจากตำแหน่ง ในคดีอื้อฉาว “วอเตอร์เกต” ที่มีการโจรกรรมข้อมูลในสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกต คอมเพล็กซ์ เมื่อ 45 ปีก่อนเสียอีก
โดยโพลที่สำรวจความเห็นครั้งนั้น พบว่า มีเพียง 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สนับสนุนให้มีการถอดถอนนิกสันออกจากตำแหน่ง และมีถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ต้องการให้ถอดถอน ก่อนที่สุดท้าย นิกสันจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออกในวันที่ 9 สิงหาคม ปี 1974 ซึ่งถือเป็นการลาออกของผู้นำประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ
ขณะที่ฝั่งเดโมแครตก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เมื่อส.ส.ของพรรค 2 ราย แบรด เชอร์แมน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย และ อัล กรีน จากรัฐเท็กซัส ยื่นญัตติเพื่อขอให้เริ่มกระบวนการพิจารณาถอดถอนทรัมป์ เพราะมีเจตนาขัดขวางกระบวนการยุติธรรมในระหว่างการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ระบุว่ารัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม กระบวนการถอนถอนใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ โดยกรณีที่จะถอดถอนได้นั้น ผู้นำประเทศต้องมีความผิดฐานทรยศต่อประเทศชาติ , ความผิดฐานรับสินบน หรือความผิดอาญาระดับสูงและประพฤติไม่ชอบ ซึ่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการกล่าวโทษ ขณะที่วุฒิสภาเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการพิจารณาตัดสิน
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการยุติธรรมซึ่งตั้งขึ้นโดยสภาผู้แทนราษฎร พบว่าข้อมูลที่ได้รับมาเพียงพอต่อการเข้าสู่กระบวนการถอดถอน ก็จะดำเนินการไต่สวนและยื่นคำฟ้องถอดถอนในแต่ละข้อหา จากนั้นจะเปิดให้ ส.ส.โหวตว่าจะให้ดำเนินการถอดถอนหรือไม่ด้วยการยึดมติเสียงข้างมาก ก่อนส่งคำฟ้องข้อกล่าวหาเพื่อถอดถอนไปยังวุฒิสภาต่อไป
โดยวุฒิสมาชิกจะมีหน้าที่พิจารณาและตัดสินว่าผู้นำประเทศมีความผิดจริงในแต่ละข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งหากมีข้อกล่าวหาใดได้รับการลงมติว่ามีความผิดจริง จะส่งผลให้ถูกถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดีทันที โดยไม่ต้องลงมติออกเสียงใดๆ อีก
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าที่นั่งในวุฒิสภานั้น ส่วนใหญ่มาจากพรรครีพับลิกันที่ทรัมป์สังกัดอยู่ โดยมีถึง 52 ที่นั่ง จากส.ว.100 คน จึงเชื่อกันว่าโอกาสที่จะถอดถอนประธานาธิบดีคนที่ 45 ออกจากตำแหน่งคงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ