ในยุคที่ตลาดรถพลังงานไฟฟ้าล้วน หรือ EV เป็นที่นิยมในบ้านเรา เราเห็นแคมเปญการต่อสู้ของสงครามราคามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีล่าสุด รู้หรือไม่ครับว่า ยอดขาย EV เมื่อเทียบกับรถที่ยังต้องพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่นั้น ในช่วงครึ่งปีแรกนี้เป็นอย่างไร
มีตัวเลขที่น่าสนใจของยอดขายรถยนต์ปี 2568 ช่วงครึ่งปีแรก นับตั้งแต่มกราคมจนถึงมิถุนายนมาฝากกันครับ โดยข้อมูลจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยยอดขายรถยนต์ในบ้านเราได้ทั้งสิ้น 302,694 คัน ลดลงเล็กน้อยราว 1.7 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ซึ่งในจำนวนนี้ รถกระบะ ยอดขายลดลง 17.82 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศยังคงอ่อนแอ จากการลงทุนภาคเอกชนไตรมาสแรกของปี ลดลง 0.9 เปอร์เซ็นต์ จากไตรมาสหนึ่งของปีก่อน ส่งผลให้แรงงานโดยภาคการผลิตลดลง อำนาจซื้อของประชาชนจึงลดลงตามไปด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือ หากเราโฟกัสไปที่รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์รวมกัน (รถเก๋ง + SUV) จะมียอดขายอยู่ที่ 193,683 คัน ซึ่งผมจะมาแจกแจงให้ฟังครับ ว่าสัดส่วนของ EV ที่ใช้ฟ้าล้วนกับรถที่ยังต้องเติมน้ำมันอยู่ นับรวมทั้ง เครื่องยนต์สันดาป, ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด นั้นเป็นอย่างไร
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าจากสงครามราคาที่เข้มข้น ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายรถ EV หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือรถกลุ่ม BEV ที่มาจาก Battery Electric Vehicle รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มียอดขายอยู่ที่ 54,084 คัน ซึ่งถือว่ายอดพุ่งกระฉูดเพิ่มขึ้นถึง 61.41 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้ว
ส่วนรถยนต์ที่ยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิง เริ่มจาก 1. รถเครื่องยนต์สันดาป (ICE : Internal Combustion Engine) มียอดขาย 72,512 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 12.28 เปอร์เซ็นต์ 2. รถไฮบริด (HEV) มียอดขาย 62,083 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 7.49 เปอร์เซ็นต์ และ 3. รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มียอดขาย 557 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 150.90 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งหากดูจากตัวเลขยอดขาย รถ EV หากไม่นับรถค่ายยุโรป หลายยี่ห้อสามารถทำราคาให้อยู่ในงบต่ำล้านได้ บางยี่ห้อ 7-8 แสนบาท ก็สามารถชื้อได้ หรือหากเป็นค่ายยุโรปบางรุ่น รถที่เป็นไฟฟ้าล้วนมีราคาถูกกว่ารถที่มีเครื่องยนต์ด้วยซ้ำไป ซึ่งดูแล้วตลาดในบ้านเรามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องแน่นอน
อย่างไรก็ดี ขณะที่ EV กำลังรุกคืบส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากการสำรวจของ Nielsen ว่าสัดส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อซื้อรถไปใช้งานจริง ผู้ใช้ EV ทั้งหมด 100 คัน จะพบปัญหาราว 22.3 คัน ส่วนหากเป็นผู้ใช้รถสันดาป 100 คัน จะพบปัญหา 12.6 คัน ทว่าทั้งหมด ผมมองว่าถูกหักล้างด้วยราคา และค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ากันราว 3-4 เท่าไปแล้ว
ส่วนหากมองอีกมุม ด้วยการนำยอดขายรถยนต์ที่ยังต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงมามัดรวม ทั้งเครื่องยนต์สันดาป, ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด เทียบกับรถไฟฟ้าล้วน ก็จะเห็นได้ว่ายอดขายรถเก๋ง + SUV จากครึ่งปีแรก ยังมีรถที่ต้องขับเข้าปั๊มเติมน้ำมันอยู่ถึง 72 เปอร์เซ็นต์ นี่ยังไม่นับรวมกลุ่มรถกระบะและรถบรรทุกอีกราว 8 หมื่นคันนะครับ
ทั้งหมดเป็นตัวเลขยอดขายรถยนต์ในบ้านเราในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่พอจะสรุปได้ว่า แม้ EV จะมาแรงแค่ไหน แต่ยานยนต์กระแสหลักในชั่วโมงนี้ก็ยังขาดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้ แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ หากจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงคันต่อไป จะเลือกแบบไหน