การตัดสินใจทุ่มเงินระดับ 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เพื่อรั้งตัวซูเปอร์สตาร์อย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เอาไว้ในทีมสร้างความสุขใจให้กับแฟนบอล “หงส์แดง” ยิ่งนักในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่าตัวเลขนั้นมันสูงเกินไป และการทำลายโครงสร้างเงินเดือนของทีมเพื่อนักเตะคนเดียวนั้นเหมาะสมแล้วจริงหรือไม่ต่ออนาคตของสโมสร? วันนี้จึงอยากแจกแจงข้อดีและประโยชน์ที่ ลิเวอร์พูล ได้รับในการพังเพดานค่าจ้างเพื่อดาวเตะจากอียิปต์ผู้นี้
1. การันตี 20 ประตูให้ทีมทุกซีซัน
สถิติระเบิดตาข่ายของ โม นั้นพิสูจน์เด่นชัด อีกทั้งความสม่ำเสมอที่ทำให้เขาได้ลุ้นรองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีกทุกฤดูกาลตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล 5 ซีซันที่ผ่านมา ยิงได้ในระดับ 20 ประตูอัปโดยตลอด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนทำแทน ดังนั้น การเสียดาวยิงสูงสุดของทีมไปคงไม่ใช่เรื่องที่ คล็อปป์ อยากให้เกิดอย่างแน่นอน
2. ไม่ต้องเสี่ยงกับการเสียฟรี
การที่ “บังโม” ยอมมอบอนาคตอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์เท่ากับเป็นการตัดโอกาสเสียหายอันรุนแรงที่สุด นั่นคือการเสียตัวดาวเตะระดับโลกไปแบบฟรี ๆ ในปีหน้า โดยที่ทีมไม่ได้อะไรคืนกลับมาเลย ซึ่งนั่นเป็นทางสุดท้ายที่ผู้บริหาร ลิเวอร์พูล อยากเห็น
3. ถึงยอมขายก็ต้องหาคนเข้ามาแทนอยู่ดี
ทางแก้โดยยอมปล่อยตัว ซาลาห์ ไปในทันที อาจทำให้ได้เงินก้อนคืนมาบ้าง แต่อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้ว คล็อปป์ ก็ต้องนำไปซื้อนักเตะใหม่มาแทนดาวเตะอียิปต์อยู่ดี มิฉะนั้นตัวแดนหน้าไม่พอ แถมต้องไปลุ้นต่ออีกว่าเขาคนนั้นจะโชว์ฟอร์มได้ดีขนาดไหน คุณภาพจะเป็นอย่างไร
4. ใช้งานระยะยาว
ด้วยวัยเพียง 30 ปี ถ้าเปรียบเทียบกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ ดูจากสภาพร่างกายและความฟิตของ ซาลาห์ คงจะยังไม่ใช่ “ขาลง” ของเขาอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นคนดูแลตัวเองและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งไม่เคยบาดเจ็บรุนแรง ดังนั้น โอกาสรักษาฟอร์มและเป็นตัวหลักของทีมต่อไปในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าของดาวเตะอียิปต์มีสูงอย่างแน่นอน
5. รักษาสมดุลในแดนหน้า
การเปลี่ยนผู้เล่นตัวหลัก 2 คนในแดนหน้าพร้อม ๆ กันในซัมเมอร์เดียว ทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และโม ซาลาห์ คงไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับ เจอร์เก้นน์ คล็อปป์ เพราะการประสานงานในเกมรุกอาจกระทบกระเทือนได้ ประกอบกับ ดาร์วิน นูนเยซ ยังต้องการเวลาปรับตัว ส่วน หลุยส์ ดิอ๊าซ ก็เพิ่งมาอยู่ได้แค่ 6 เดือน ดังนั้น การเก็บ โม ไว้คือการทำให้แดนหน้าของ “หงส์แดง” รักษาสมดุลเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยที่สุด และไม่ทำให้คุณภาพของนักเตะลดลงด้วย
6. เลือกขายได้ในอนาคต
การยอมปรับตัวเลขให้ ซาลาห์ ทำให้ ลิเวอร์พูล มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น คือกรณีเล่นไปอีก 1 ปีเกิดมีทีมใหญ่สนใจให้ราคาเหมาะสมค่อยไปปล่อยเอาตอนนั้นก็ได้ ถึงตอนนั้นไม่เสียเปรียบอะไรนักเตะแล้ว ประกอบกับการให้เม็ดเงินสูงแต่เซ็นไม่ยาวมากคือ 3 ปี ก็เป็นระยะเวลาเหมาะสมที่ไม่ทำให้สโมสรต้องเสี่ยงจนเกินไป
7. ปิดตลาดได้เลย
หลังปิดมหากาพย์การเจรจากับ ซาลาห์ และเอเย่นต์ รามี่ อับบาส ลงได้ น่าจะทำให้เจอร์เก้นน์ คล็อปป์ และจูเลี่ยน วอร์ด ผู้อำนวยการไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก สามารถมองไปข้างหน้าได้เลย เพราะด้วยระดับคุณภาพทีมแบบนี้ ถึงไม่ซื้อตัวผู้เล่นอื่นมาเสริมทั้งผู้จัดการทีมและแฟนฟุตบอลก็น่าจะพอใจและรับได้ในระดับหนึ่ง เอาเวลาที่เหลือไปเคลียร์กับผู้เล่นรองรายอื่น ๆ อย่าง นาบี เกอิต้า และโรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ หรือขายนักเตะส่วนเกินก่อนที่จะเปิดฤดูกาลได้เลย
ทั้งหมดคือข้อดีที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของ ลิเวอร์พูล ในการทุ่มเพื่อรั้งตัว ซาลาห์ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็สามารถบาลานซ์ตัวเลขในจุดนี้ได้ด้วยการใช้ค่าเหนื่อยเดิมของ มาเน่+โอริกี้+มินามิโนะ 3 คนที่ปล่อยออกไปรวมแล้วประมาณ 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ มาจ่ายให้กับ นูนเยซ+คาร์วัลโญ่ ประมาณ 2 แสนปอนด์ แล้วเหลือมาโปะให้กับดาวเตะอียิปต์ได้พอดิบพอดีอีก 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.