Ghost Doctor ไม่ใช่หมอผี แต่หมอกลายเป็นผี

ภาพจาก tvN

หลังจากดูซีรีส์ไทยมา 2 สัปดาห์ติด ทำให้ตอนนี้แพชชันในการดูซีรีส์ไทยเริ่มแผ่วลง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอคติลดลงกว่าเมื่อก่อน แล้วก็ไม่ได้เปิดใจให้กับละครไทยยากขนาดนั้นแล้ว ทว่าเรื่องอื่น ๆ ที่กำลังออนแอร์อยู่ในช่วงนี้ เท่าที่เห็นคลิปตัวอย่าง ก็รู้สึกว่าไม่ได้อยากลองดูขนาดนั้น ตอนนี้เลยได้เวลาขนข้าวของกลับเกาหลีแล้วล่ะ ช่วงนี้ซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่กำลังจะมา อปป้าเกาหลีคงรอแย่แล้ว

แต่ซีรีส์ที่จะนำมาเมาท์มอยในสัปดาห์นี้นั้นเริ่มออนแอร์ไปเมื่อต้นปี แต่เผลอแป๊บเดียวก็ฉายไป 6 ตอนเข้าไปแล้ว (แต่ทำไมเดือนมกราคมมันยังไปไหนเลย) คืองี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนพูดถึง F4 ใช่ไหม เมื่อพูดถึง F4 เแน่นอนว่าคงจะข้ามเวอร์ชันเกาหลีไปไม่ได้ ที่บอกว่ามีนักแสดงคนหนึ่งของเวอร์ชันเกาหลีกำลังมีผลงานออนแอร์อยู่ ใช่แล้ว ตอนนี้เขามาปรากฏตัวอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้ ช่วงหลัง ๆ มาเจอ “คิมบอม” ในซีรีส์บ่อยพอสมควร ซึ่งนี่ก็ได้ดูบ้างไม่ได้ดูบ้าง แต่เขาก็ยังหล่อใสและหน้าเด็กมากเหมือนเดิม

แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่คิมบอมคนเดียวที่ทำให้ซีรีส์น่าดู ยังมีนักแสดงอีกคนหนึ่งที่เคยขึ้นแท่นเป็นซุปตาร์เอเชียมาแล้ว ในช่วงที่พีคมาก ๆ คนไทยที่ไม่ใช่ติ่งเกาหลียังรู้จักเขาเลย เขาเคยดังในไทยมาก ๆ อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะสินค้าในไทยมีพี่แกเป็นพรีเซ็นเตอร์

ภาพจาก tvN

เมื่อนานมาก ๆ มาแล้ว ใครที่โตทัน (ถ้าทันก็ไม่เด็กแล้วนะจ๊ะ) จะจำได้ว่ามีนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่งที่ได้ซุปตาร์เกาหลี “เรน” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เรายังได้ใช้สมุดที่แถมมากับนมแล้วมีพี่แกขึ้นปกอยู่เลย สมัยก่อนนี่อปป้าดังมาก ๆ ตอนนั้นเรายังไม่ได้เข้าวงการติ่งเต็มตัวด้วยซ้ำ แต่ก็รู้จักพี่แกแล้ว เรนมีซีรีส์ขึ้นหิ้งอย่าง Full House สะดุดรักที่พักใจ ที่โด่งดังถล่มทลายในเมืองไทย และไทยก็เคยนำมารีเมกแล้วเหมือนกัน หลังจากเข้ากรมและแต่งงานกับนางฟ้าเกาหลี “คิมแทฮี” ก็เห็นหน้าเขาน้อยลง ถึงผลงานจะไม่เปรี้ยงปร้างเท่าเมื่อก่อน แต่เรนก็เป็นซุปตาร์ระดับตำนานไปแล้ว

Ghost Doctor ซีรีส์ทางการแพทย์ที่มีเรื่องผี ๆ สาง ๆ เข้ามาวุ่นวายไม่น้อย อาจารย์หมอคนหนึ่ง เป็นศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอกที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ ความเก่งกาจของเขาเป็นที่เลื่องลือตั้งแต่ยังเป็นแค่แพทย์อินเทิร์น เพราะเขาสามารถผ่าตัดคนไข้เคสยากได้ด้วยตัวคนเดียว จากเหตุการณ์นั้นเขาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีฝีมือ ซึ่งยิ่งมีคนชื่นชมเขามากเท่าไร เขาก็หยิ่งทะนงในฝีมือมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดความอ่านหลาย ๆ อย่างสมัยเป็นอินเทิร์นเปลี่ยนไป เมื่อเขากลายเป็นอาจารย์หมอเต็มตัว

ภาพจาก tvN

จนมาวันหนึ่ง อำนาจที่เขาสั่งสมจากความสามารถของเขาก็ถูกท้าทาย โดยแพทย์ประจำบ้านคนใหม่ ผู้ซึ่งคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เขาถูกวางให้เป็นทายาทของโรงพยาบาลเมื่อเขาได้ใบวุฒิบัตร เขาจึงต้องทำทุกอย่างให้ปู่พึงพอใจ เขาเป็นเด็กฉลาด เก่งทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติไม่เอาอ่าว แค่ใส่-ถอดอุปกรณ์ง่าย ๆ ยังทำไม่ได้ ส่วนเรื่องมารยาทของเขานั้นหนักกว่าเพราะติดลบ เมื่อต้องมาต่อปากต่อคำกับอาจารย์หมอคนดัง ทำให้เขากลายเป็นไอ้เด็กเวรที่อาจารย์หมอหมายหัว ว่าต้องทำให้เด็กไม่มีมารยาทนี่ออกจากโรงพยาบาลไปให้ได้

แต่โชคชะตากลับเล่นตลก จากอาจารย์หมอที่เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ ลมหายใจของเขากลับไม่มั่นคง เขาถูกหามมาส่งที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ในสภาพเลือดท่วมตัวจากอุบัติเหตุ ความเป็นความตายอยู่ใกล้กันจนแยกไม่ออก วิญญาณของเขาก็ออกจากร่าง ที่ทำได้แค่มองร่างตัวเองจากข้างนอกเพราะเข้าร่างไม่ได้ กลายมาเป็นวิญญาณเร่ไปร่อนมาในโรงพยาบาล สภาพของเขาเกือบจะไม่รอด และที่สำคัญคนที่เขาพึ่งได้กลับมีแค่ไอ้เด็กเวรที่เขาเกลียดขี้หน้าเข้าไส้ สุดท้ายเขาจึงต้องพึ่งเด็กคนนี้ระหว่างที่ตัวเองเป็นวิญญาณ

จะให้เสียคนไข้ที่มีโอกาสรอดไป เพราะมัวแแต่รั้งคนไข้ที่หมดโอกาสแล้วเหรอ

จะว่าไป หมอไม่ได้ทำงานยากแค่เรื่องเฉพาะทาง การต่อสู้กับอาการเจ็บป่วยของคนไข้เท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของชีวิตคนที่มีเพียงหมอเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ หมอเองก็เป็นคนที่ไม่สามารถช่วยได้ทุกคน หมอจึงต้องประเมินจากโอกาสรอดของคนไข้ ถ้าช่วยแล้วมีโอกาสจะรอดหมอก็จะช่วย แต่ไม่เห็นโอกาสอะไรเลย หมอส่วนใหญ่จะปล่อยไป ทุกอย่างมันมีต้นทุนเรื่องความสูญเสีย เสียเวลา เสียโอกาส เสียทรัพยากร ช่วยไปแล้วยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี มันก็เสียโอกาสคนไข้คนอื่น ๆ ที่เขาสามารถรอดได้มากกว่า

เวลาที่เห็นข่าวว่าญาติคนไข้โวยวายหมอ หากฟังความทั้งสองข้าง แล้วพบว่าหมอทำพยายามทำดีที่สุดแล้วตามหน้าที่ของเขา (ประมาณว่าไม่ใช่เพราะหมอบกพร่องในหน้าที่) จากนั้นลองมาพิจารณาโดยตัดอคติออกให้หมด การจะช่วยชีวิตใครหรือไม่ช่วยชีวิตใคร หมอเขาก็มีเกณฑ์ในการประเมินของเขาอยู่ เมื่อประเมินแล้ว หมอก็คงรู้ว่าช่วยได้หรือไม่ได้ จากความสามารถของตัวหมอเองและสภาพของคนไข้ในตอนนั้น ถ้าเคสนี้ช่วยไม่ได้ เขาก็จะปล่อย แล้วเลือกช่วยเคสที่เขาช่วยได้ (ไม่นับรวมการเลือกปฏิบัติเพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง)

ภาพจาก tvN

เราเข้าใจดีว่าในฐานะญาติของคนไข้ มันไม่อาจจะทนเห็นคนที่เรารักจากไปต่อหน้าต่อตาได้หรอก ไม่ว่าสภาพของคนไข้จะย่ำแย่เละเทะแค่ไหน โอกาสรอดแทบจะติดลบ แต่เราก็ยังพยายามจะหาโอกาสเพื่อให้หมอช่วยชีวิตเขา แม้ว่าจะพอประเมินด้วยตัวเองได้ว่าคนไข้ไม่น่ารอด แต่ก็ยังหวังว่าถ้าหมอช่วยมันอาจจะมีปาฏิหาริย์อะไรแบบนั้น แต่คนเป็นหมอเขาไม่ได้ทำงานโดยหวังพึ่งปาฏิหาริย์ไง เขามองตามความเป็นจริง ถ้ามีโอกาสจะรอดก็จะช่วย แต่ถ้าไม่ไหวแล้วจริง ๆ เขาก็จะหยุดให้ความช่วยเหลือ เพราะช่วยไปก็เท่านั้น

มีตั้งกี่เคสที่ช่วยมาก็ทำได้แค่นอนเป็นผัก หัวใจยังเต้นแต่หายใจเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ยื้อไว้เพื่อที่จะบอกใครต่อใครว่ายังไม่ตาย สุดท้ายมันก็ได้แค่นั้น บุคลากรทางการแพทย์ต้องสละเวลามาติดตามอาการ เวลาที่เขาอาจช่วยคนอื่น ๆ ได้มากมาย สละเครื่องมือที่ควรใช้กับคนที่มีโอกาสฟื้นมากกว่า ลำบากลูกหลานต้องมาคอยดูแล คนไข้เองเขาก็ลำบาก เพราะสภาพที่ได้แต่นอนให้หัวใจเต้นไปวัน ๆ แต่ลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว หายใจเองก็ไม่ได้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้วหรอก มันอาจจะยาก แต่บางทีก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ ในที่สุดคนเราก็ต้องตายอยู่แล้ว

มันอาจจะฟังดูขัด ๆ นิดหน่อยว่าหมอจะเลือกปฏิบัติไม่ได้สิ หมอต้องช่วยชีวิตคน แต่เราอาจต้องลองคิดดูให้ดี ๆ ว่าคนที่จะให้หมอช่วยชีวิตนั้นยังจะมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ หรือหากหมอช่วย การที่หมอเลือกที่จะไม่ช่วย แปลว่าเขาประเมินแล้วว่าช่วยก็ไม่รอดอยู่ดี การเสียเวลาช่วยคนที่ตายแน่ ๆ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของคนที่ทำอาชีพนี้ ไม่ใช่เขาไม่อยากช่วย แต่เขาช่วยไม่ได้แล้วต่างหาก คนเราเมื่อถึงเวลา ก็ควรทำใจไปให้สบาย

ถ้าหมอช่วยชีวิตคนตายได้ก็คงไม่ใช่หมอแต่เป็นพระเจ้าแทน

ด้วยความที่เป็นซีรีส์ทางการแพทย์อะเนอะ เวลาที่มีคำพูดลึกซึ้งกินใจ มันก็มักจะมีความเป็นนามธรรมมาก ๆ ยิ่งพอผสมเอาเรื่องผี ๆ ลงไปด้วย มันก็ออกจะให้แนวข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตคนอะไรประมาณนั้น อย่างที่บอกแหละว่าหมอจะช่วยชีวิตใคร เขาก็คงจะประเมินแล้วว่าถ้าช่วยแล้วจะมีโอกาสรอดแค่ไหน คนที่มาสภาพร่อแร่ แบบนั้นช่วยไปก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

การจะตัดสินว่าคนไข้ตายแล้ว (เท่าที่ทราบ) รู้สึกว่าเขาไม่ได้พิจารณาจากหัวใจว่าหยุดเต้นแล้วหรือหมดลมหายใจ แต่เขาตัดสินจากสมอง ประมาณว่าถ้าสมองตายแล้ว มันก็จะไม่สั่งการให้ร่างกายทำงานอีกต่อไป เขาถือว่าสมองเป็นตัวควบคุมปฏิกิริยาและการทำงานของระบบต่าง ๆ แม้ว่าลมหายใจจะมีอยู่แผ่ว ๆ แต่มันก็อีกไม่นาน ในเมื่อสมองตาย มันเท่ากับว่าไม่สามารถกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้อีกต่อไป ระบบต่าง ๆ ก็จะเสียหาย ถึงจะยังหายใจ แต่คนคนนั้นก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว สมองไม่สั่งการอะไรกับร่างกายอีกแล้ว ก็จะเท่ากับเสียชีวิตในทางกฎหมายด้วย

ภาพจาก tvN

พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าหมอพิจารณาแล้วว่าสมองของคนคนนั้นคงจะไม่ทำงานอีกต่อไป ก็จะเท่ากับว่าเสียชีวิต และในเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว หมอก็คงจะช่วยชีวิตไม่ได้อีก (ไม่มีชีวิตให้ช่วยแล้ว) หมอก็จะปล่อยไป เพราะฉะนั้น ต่อให้เป็นหมอที่เก่งแค่ไหน แต่หมอช่วยชีวิตคนตายไปแล้วไม่ได้ เพราะถ้าช่วยได้เขาก็ไม่ใช่หมอ แต่คงเป็นพระเจ้านั่นแหละ

มันเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจจริง ๆ นะกับคนที่ทำอาชีพนี้ เชื่อว่าพวกหมอก็คงไม่ได้ไร้ความรู้สึกขนาดที่ว่าจะไม่เสียใจหรอก หากคนอื่นจะมองว่าก็เพราะนั่นไม่ใช่ญาติหมอนี่ ปล่อยให้ตายไปหมอจะรู้สึกอะไรล่ะ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีหมอคนไหนดีใจหรอกที่เห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา หมอก็คน มีจิตใจ และเข้าใจทุกอย่างว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ญาติ ๆ เข้าใจในเมื่อนั่นเป็นคนที่พวกเขารัก แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ ต้องยอมรับความจริง เพราะจริง ๆ แล้วหลาย ๆ เคสในใจลึก ๆ ของญาติก็รู้ดีว่าไม่มีทางรอด แค่ยังยอมรับความจริงไม่ได้

ถ้าอยากสนับสนุนทีมเป็นอย่างดี ก็ต้องรู้ให้ได้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

จริง ๆ แล้วพล็อตเรื่องประมาณว่าลูกคนรวยจะเข้ามาเป็นทายาทสานต่อกิจการบริษัท ต้องปลอมตัวเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา ๆ ก่อน เพื่อให้รู้ว่าองค์กรที่ตัวเองต้องรับช่วงต่อนั้นเป็นอย่างไร แบบว่าต้องรู้ให้ได้ทุกซอกทุกมุมว่าวัน ๆ เกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะบุคลากรในทุก ๆ ตำแหน่งเขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร ลงไปคลุกคลีกับคนระดับล่าง ๆ เพื่อที่จะได้รู้ความต้องการของพวกเขาเนี่ย มันมีมานานมาก ๆ แล้วแหละ ถ้าเป็นปัจจุบันต้องบอกว่า “จริง ๆ แล้วฉันเป็นประธานบริษัทปลอมตัวมา”

ภาพจาก tvN

แล้วการปลอมตัวก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ด้วยนะ ส่วนใหญ่ละครจะเล่นใหญ่เพราะต้องการให้มันเป็นพล็อตหลัก พระเอกหรือนางเอกก็ต้องปิดบังความจริง เข้ามาเป็นพนักงานธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ปากกัดตีนถีบเหมือนทุกคน ต้องอยู่กับคนระดับล่าง ๆ ให้ได้ ห้ามให้คนสงสัย ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รู้เหตุการณ์ตามความจริง เพราะอาจมีคนพยายามจะบิดเบือนด้วยรู้ว่าเบื้องบนกำลังจับตาดูอยู่ หรือมีคนเอื้อสิทธิประโยชน์ หรือมีคนเข้ามาประจบประแจงเพื่อหวังผลประโยชน์ จึงกลายเป็นคนโกหก พอเฉลยก็ทำให้พระเอกหรือนางเอกที่ดันไปมีใจให้กันระหว่างปลอมตัวโกรธ ต้องตามง้องอนกันไป

สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ การปลอมตัวลงไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานระดับล่าง ๆ ไม่ใช่พล็อตของเรื่องหรอก มันเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ของตัวละครตัวหนึ่งที่เอ่ยถึงขึ้นมาเพียงนาทีหรือสองนาทีเท่านั้น แค่เห็นแล้วทำให้นึกถึงละครที่ประธานบริษัทชอบปลอมตัว ก็เลยมาคิด ๆ พิจารณาดู ว่าส่วนตัวเราแล้วใจเราก็เห็นด้วยกับวิธีนี้นะ (แต่ไม่ต้องเวอร์อะไรแบบในละคร) คือเราจะรู้ทุกซอกทุกมุมว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เราจำเป็นต้องลงไปคลุกคลี ต้องลงไปเผชิญหน้า ต้องอยู่ในสถานการณ์จริง ถึงจะรู้ว่าจะสนับสนุนพนักงานได้อย่างไร การมองลงมาจากหอคอยไม่ได้ช่วยอะไร

เพราะการมองจากภายนอก ไม่ได้เผชิญเอง ก็จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัญหาเบื้องลึกที่ควรต้องแก้ไข คนออกกฎออกนโยบายออกแผนงานจะออกไปตามทฤษฎีที่เรียนมาโดยรับรู้แค่ปัญหาผิวเผินไม่ได้ มองลงมาเห็นว่าเกิดเรื่องแต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ท้ายที่สุดมันก็ไม่ได้ช่วยให้แก้ปัญหาอะไรยั่งยืน แค่เป็นแผนงานสวย ๆ ว่าทำแล้วนะแค่นั้น ในเมื่อปัญหาจริง ๆ มันยังอยู่ และไม่เคยถูกแก้ไขเลย แบบนี้แหละองค์กรถึงไม่พัฒนาและไม่เจริญ

สำหรับผู้บริหาร ควรจะมองคนทำงานว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพราะคนเหล่านี้เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้งานองค์กร ถ้าพวกเขาอยู่ดีกินดี สวัสดิการดี สวัสดิภาพในชีวิตพวกเขาจะดีตาม เมื่อไม่มีอะไรต้องมานั่งกังวลใจ พวกเขาก็จะทำงานให้องค์กรได้อย่างเต็มที่ งานออกมาดี องค์กรก็ดีตาม เรื่องมันก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง

ภาพจาก tvN

ถ้ายังรักที่จะนั่งเก้าอี้ผู้บริหาร (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) ก็ต้องฟังเสียงคนข้างล่างให้มากกว่านี้ ไปสัมผัสว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร ลำบากแค่ไหน ทำยังไงก็ได้ให้รู้ต้นตอของปัญหาจริง ๆ ให้ได้มากที่สุด ถ้าปลอมตัวไม่ได้อย่าลงเอง เดือดร้อนต้องเกณฑ์คนไปต้อนรับ ที่สำคัญ ถ้าคุณแห่กันมาเอิกเกริกใหญ่โต คุณก็จะเจอแต่ผักชีโรยหน้าที่ถูกเตรียมไว้ต้อนรับเท่านั้น แต่ปัญหาจริง ๆ อยู่ใต้ผักชีลงไปเยอะ

ซีรีส์เรื่อง Ghost Doctor นี้ เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้การแพทย์จ๋า มันยังมีความดราม่า โรแมนติก คอมเมดี้ แฟนตาซี โดยเฉพาะเรื่องขำ ๆ ก็มีอยู่มากพอสมควร เพราะฉะนั้น ใครที่อยากได้อะไร ๆ ที่เบาสมองหน่อยเรื่องนี้ก็น่าดู ปมต่าง ๆ ก็น่าติดตามพอสมควร แม้ว่าจะเดาง่ายไปหน่อยก็ตาม เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดเยอะคิดมาก แค่ดูผู้ชายที่มาแจกความสดใส ขายขำโบ๊ะบ๊ะแบบแพ็กคู่ก็สบายใจได้แล้ว ??‍⚕️