หน้ากากแห่งรอยยิ้ม มนุษย์เราซ่อนอะไรไว้ใต้นั้นบ้าง

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่สร้างความตกใจให้กับบรรดาแฟนคลับศิลปินเกาหลี กับข่าวการสิ้นสุดภารกิจรับใช้ชาติในฐานะทหารเกณฑ์ของ อีแทมิน สมาชิกน้องเล็กแห่งวง SHINee ศิลปินไอดอลของเกาหลีใต้ ในข่าวระบุว่าเขาถูกย้ายจากกองทหารดุริยางศ์ของกระทรวงกลาโหม ไปทำงานที่หน่วยบริการสาธารณะแทน สาเหตุมาจากภาวะสุขภาพของเขาที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าและโรคแพนิค ที่เขารับมือกับมันมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนเข้ากรมทหาร ทว่าอาการของเขากลับแย่ลง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังคงฝึกทหารไปพร้อม ๆ กับรักษาอาการป่วย เรื่องนี้เปิดเผยโดย SM Entertainment ต้นสังกัดของเขา

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้บรรดา SHINee World (ชื่อแฟนคลับของ SHINee) ตกใจไม่น้อย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาต้องรับมือกับโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่ก่อนเข้าเกณฑ์ทหาร ไม่รู้มาก่อนว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานระหว่างรักษาโรคนี้มานานเท่าไร สิ่งที่แฟนคลับเห็นจากเขา เขาคือเด็กหนุ่มวัย 28 ปี (นับแบบสากล) ที่ยังคงทำงานตามปกติ จริงจังกับการทำงานและดูมีความสุขดี เขามอบรอยยิ้มให้กับคนอื่น ๆ เสมอ และไม่เคยมีมุมไหนที่เขาทำให้แฟนคลับสงสัยว่าเขาป่วย

เขาเข้าสู่วงการไอดอลตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 15 ปีเต็ม พัฒนาการของเขามีให้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นเป็นไอดอลใหม่ ๆ จนถึงปัจจุบัน เขาไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง สนุกกับสิ่งที่ทำ แถมนิสัยปกติตั้งแต่เด็กยังโก๊ะ ๆ ซุ่มซ่าม เงอะงะ ร้องไห้ยากมาก เด็กติสท์ ๆ ที่รักสนุกสนาน ชอบก่อกวนพี่ ๆ ในวง ทำอะไรแบบไม่ค่อยคิดซับซ้อน แต่เรื่องที่เขาจริงจังกับเรื่องงานเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกให้แฟนคลับเห็นมีเพียงรอยยิ้ม ความสนุกสนาน และความกวน ๆ นี่แหละที่ปิดบังสิ่งที่เขาซ่อนไว้ในใจอย่างมิดชิด

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้แฟนคลับวง SHINee ค่อนข้างกังวลมาก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องลักษณะนี้ขึ้น เมื่อ 4 ปีก่อน ในปี 2017 สมาชิก SHINee และเหล่าแฟนคลับเคยสูญเสีย คิมจงฮยอน สมาชิกคนหนึ่งในวงไปเพราะโรคซึมเศร้ามาแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นคล้ายกับครั้งนี้มาก เพียงแต่คิมจงฮยอนเคยส่งสัญญาณบางอย่างออกมาบ้าง แต่เรากลับคาดไม่ถึงว่ามันคือสิ่งที่เขาแสดงออกมาจากจิตใจที่บอบช้ำ และไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น

นอกจากนี้ยังมีคนในวงการนี้อีกเป็นจำนวนมากที่ต้องรับมือกับโรคซึมเศร้าโดยที่แฟนคลับไม่รู้ แน่นอนว่าในฐานะแฟนคลับ เรามีโอกาสเห็นศิลปิน นักแสดงที่ชื่นชอบเพียงแค่ด้านที่พวกเขาอยากให้เราเห็น ซึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขามาก ๆ อาจจะรู้ดีว่าเพื่อนร่วมงานกำลังป่วย และหาทางช่วยเหลือเขาได้ทันเวลา ในกรณีนี้จะถือว่าโชคดีที่ทุกคนรู้และเข้าใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือเป็นอย่างดี ในทางกลับกัน ถ้าคนเหล่านี้พยายามที่จะปิดบังความทุกข์ชนิดที่แม้แต่คนใกล้ชิดก็ไม่อาจสังเกตได้ ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ช่วยเหลือไม่ทันก็มีอยู่มากมาย

คนประเภทนี้เก็บอะไรต่ออะไรไว้ในใจเยอะมากโดยที่ไม่แสดงออกมาให้ใครเห็น สำหรับบางคนปิดบังไว้มิดชิดมาก จนคนรอบตัวไม่รู้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะตัวเขาเองก็เลือกที่จะไม่แสดงด้านที่ตัวเองทุกข์ทรมานออกมา เลือกที่จะแสดงแต่ด้านที่มีความสุขออกมาแทน สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มปิดบังมันไว้ตลอดเวลา นั่นทำให้คนประเภทนี้เป็นคนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด เขาแทบไม่เคยแสดงสัญญาณว่าต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ให้ใครเห็นเลย

เพราะสิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่มันเป็น กลับมาที่คนธรรมดา คนเราต่างมีเรื่องเครียด เรื่องกดดันในชีวิต แต่ก็เลือกที่จะยิ้มแย้มปิดบังความบอบช้ำภายในใจ ทุกครั้งที่มีเรื่องทำนองนี้ ก็มักจะมีคนที่ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากมาย และเตือนให้เราหมั่นสังเกตคนรอบข้างอยู่เสมอ แม้ว่าพวกเขาจะยิ้มอยู่ ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นรอยยิ้มเพราะความสุข นั่นหมายความว่า เราอาจต้องใส่ใจกับบุคคลรอบข้างให้มากขึ้นสักนิด สังเกตอาการว่าพวกเขายังมีความสุขจริง ๆ ดีหรือเปล่า กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือไม่ จะได้ช่วยเหลือได้ทัน

หากพบว่าคนใกล้ตัวแปลกไป พยายามจะยิ้มหรือหัวเราะมากกว่าที่เคย อาจเป็นไปได้ว่าเขากำลังแสดงออกเพื่อซ่อนอะไรบางอย่างในใจ หากเราสังเกตเห็น ต้องรีบให้ความช่วยเหลือก่อนที่จะสายเกินไป เบื้องต้นอาจให้คำปรึกษาและอยู่ข้าง ๆ คอยให้กำลังใจ แต่เมื่อไรก็ตามที่พบว่ามันเริ่มเป็นอาการป่วย ไม่สบาย ก็ต้องหาหมอเพื่อรักษา ในเมื่อร่างกายยังไม่สบายเจ็บป่วยได้ ทำไมจิตใจเราถึงจะเจ็บป่วยไม่ได้ รักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ โอกาสที่จะหายเป็นปกติมีอยู่แล้ว

อย่าเพิ่งไว้ใจว่าคนที่ยิ้มและหัวเราะแบบดูมีความสุขดีจะมีความสุขจริง ๆ มีคนไม่น้อยใช้หน้ากากแห่งรอยยิ้มสวมทับบางอย่างที่อยากซ่อนไว้ ยิ้มและร่าเริงอยู่เสมอเพื่อให้ทุกคนสบายใจ แล้วปกติคนเราซ่อนอะไรไว้ใต้หน้ากากรอยยิ้มบ้างนะ? เผื่อว่าเราจะใช้มันเป็นคีย์เวิร์ดในการสังเกตคนใกล้ตัวได้

ซ่อนความทุกข์ทรมานใจ

หลายคนมีความคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเลยที่เราจะเอาความทุกข์ใจไปเล่าให้ใครฟัง ถ้าไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือได้หรือไว้ใจจริง ๆ ก็จะไม่พูดหรือแสดงออกเลย ถึงอย่างนั้นสำหรับบางคน ที่ไม่เล่าไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจ แต่เป็นเพราะรู้สึกเกรงใจต่างหาก ไม่อยากจะเอาเรื่องไม่สบายใจของตนเองไปทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ตามไปด้วย ยิ่งกับคนที่สนิทมาก ๆ คนที่รู้ดีว่าเขานั้นก็มีเรื่องอื่น ๆ ให้คิดมากมายพออยู่แล้ว จึงเข้าใจว่าหากเอาเรื่องหนักใจไปปรึกษา จะเป็นภาระให้กับเขา ทำให้พลอยลำบากไปด้วย จึงซ่อนทุกความทุกข์ทรมานใจไว้คนเดียว แล้วค่อย ๆ โดนความทุกข์ดูดจนจมลงไปเรื่อย ๆ

ซ่อนความกลัว

คนเราทุกคนต่างก็มีความกลัวได้สารพัดอยู่ในใจ หากเป็นความกลัวเรื่องทางกายภาพ ทั่ว ๆ ไป ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง ทว่ามันจะมีความกลัวอีกประเภทที่ฝังอยู่ลึกในใจ กรณีนั้นน้อยคนนักที่จะกล้าเปิดเผยให้ใครฟัง เพราะส่วนใหญ่เราจะมีความเชื่อว่าอย่าเปิดเผยความกลัวให้ใครรู้ว่าเรากลัวอะไร มันอาจกลายเป็นจุดอ่อนให้เราถูกโจมตี หรืออาจถูกมองว่ากลัวเรื่องอะไรไม่เข้าท่าไร้สาระ หลาย ๆ คนจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ ต่อสู้และแก้ปัญหาคนเดียว

ซ่อนความผิดหวัง

เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ค่อยอยากจะให้ใครรู้ถึงความผิดพลาดหรือความล้มเหลวของตัวเองสักเท่าไร ยิ่งกับคนที่ถูกคาดหวังสูง ๆ แบกรับอะไรมาเยอะ ยิ่งพยายามจะทำทุกอย่างให้สำเร็จด้วยตัวเอง ฉะนั้น เมื่อผิดพลาดหรือต้องรับมือกับความล้มเหลว ก็ไม่อยากแสดงออกให้คนอื่นรู้ด้วยว่าสภาพจิตใจของตนเองกำลังไม่โอเค เลือกที่จะแสดงออกในด้านที่มีความสุขดีเพื่อกลบเกลื่อน จัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง แต่ในใจกลับรู้สึกแย่กับทุกอย่าง ไม่เห็นทางออก ไม่เห็นอนาคต ท้อแท้หมดหวัง หรือแม้แต่คิดว่าไม่มีใครช่วยอะไรได้

ซ่อนความอ่อนแอ

เช่นเดียวกับความกลัว ความอ่อนแออาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี หลายคนถูกปลูกฝังมาว่าอย่าอ่อนแอให้ใครเห็น และการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องแย่ เรื่องที่แสดงถึงความไม่เอาไหน อ่อนแอ โดยอาจลืมไปว่ามนุษย์เราถูกออกแบบมาให้เป็นสัตว์สังคม เราไม่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างคนเดียว ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา หรือจริง ๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำไป อ่อนแอก็บอกว่าอ่อนแอ ไม่ไหวก็บอกว่าไหว ต้องการความช่วยเหลือก็ร้องขอ ไม่เห็นจะต้องฝืน มันอาจไม่ใช่เรื่องแย่อย่างที่คิด

ซ่อนทุกความรู้สึกในด้านลบ

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เก็บเอาทุกอย่างไปร้องไห้คนเดียว ที่ไม่พูด ไม่บอกใคร เพราะคิด (ไปเอง) ว่าคนอื่นคงช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายปัญหามันก็ยังอยู่เหมือนเดิม จริง ๆ แล้วอาจแค่เลือกคนฟังผิดคนก็ได้ การได้พูดออกไป ได้ปรึกษาใครสักคน ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้นอกจากฟัง ปัญหามันก็ยังอยู่ แล้วสุดท้ายก็ต้องสู้อยู่คนเดียว แต่สิ่งที่อาจได้มาคือกำลังใจและการสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง คงจะดีไม่น้อยเลยที่หันมาแล้วยังเจอว่ามีใครอยู่ข้างหลัง ที่มากกว่านั้นคืออาจมองเห็นวิธีแก้ปัญหาในมุมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ในมุมของเราคนเดียว อย่าเพิ่งประเมินคนอื่นต่ำเกินไป แค่เลือกให้ถูกคน