อย่าเพิ่งคิดเป็นม้ายูนิคอร์น ถ้ายังลงมือทำธุรกิจจริง ๆ ไม่เป็น

เจสัน ฟรายด์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ Basecamp เป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัป ที่ให้ข้อคิดกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยประโยคสั้น ๆ ใน ทวิตเตอร์ของเขาเมื่อปี 2019 เอาไว้ว่า “Don’t start and up. Start a business” (อย่าเริ่มธุรกิจและคิดจะโตทันที ลงมือทำธุรกิจจริง ๆ กันก่อน)

ข้อความดังกล่าวน่าจะพอเป็นข้อความที่จะฉุดรั้งความตื่นเต้นของสังคมในยุคนี้ ที่ได้ตื่นเต้นกับข่าวประเภท “อายุน้อยร้อยล้าน” หรือความหวังของสตาร์ทอัปรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการเป็นยูนิคอร์น สัตว์ในตำนานที่ถูกเปรียบเสมือนการสร้างสิงที่เหมือนความฝันให้กลายเป็นจริงได้ จากบริษัทสตาร์ทอัปที่สามารถเติบโตในระยะเวลาอันสั้นโดยมีโมเดลธุรกิจที่สามารถหาลูกค้าได้จำนวนมหาศาล และสร้างกำไรได้เรื่อย ๆ นั้นสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,000 ล้านบาท)

สตาร์ทอัป “ม้ามีเขา” มูลค่าพันล้านเหรียญสหรัฐ

สตาร์ทอัปที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นยูนิคอร์น นั้น มีอยู่บนโลกใบนี้ในหลักร้อยและในจำนวนนั้นท็อป 5 ของลิสต์ยูนิคอร์นอย่าง อูเบอร์, สเปซเอ็กซ์ และแอร์บีเอ็นบี และถ้าคิดมูลค่าของทั้งสามสตาร์ทอัปที่กลายเป็นยูนิคอร์น นั้นมีมูลค่าสูงถึง 68,000 ล้านเหรีญสหรัฐ

และแน่นอนว่าเมื่อกลายเป็นยูนิคอร์นแล้วเหล่าผู้ก่อตั้งต่างก็ได้รับเงินตอบแทนจำนวนมหาศาล และ กลายเป็น เซเลบริตี้พันล้านแห่งวงการ “เทคฯ คอมพานี” แต่เบื้องหลังของการเป็นสมาชิกคลับ “ม้ามีเขา” พันล้านนั้นคือการทำงานวันหนึ่งมากกว่าสิบแปดชั่วโมงเพื่อแลกกับเงินที่มาจากการระดมทุน แน่นอนว่าความกดดันที่มีต่อธุรกิจที่คุณก่อตั้งมากับมือ จะมีมากกว่าผู้ประกอบการที่มุ่งหน้าในการทำธุรกิจปกติ

และในบางครั้งเหล่าผู้ก่อตั้งทั้งหลายก็จะพยายามใส่ความกดดันมากเกินไปในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมของการเริ่มต้นทำธุรกิจ อันส่งผลให้ปลายทางที่วางไว้ไม่เป็นไปตามแผน

กว่าครึ่งของยูนิคอร์น มีปัญหาทางด้านการเงิน 

ถึงบรรทัดนี้มีคำถามว่า การเป็นสตาร์ทอัปจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่ต้องกลายร่างไปเป็นยูนิคอร์น คำตอบคือไม่จำเป็นขนาดนั้น ในช่วงเริ่มต้นเมื่อกลายเป็นยูนิคอร์นแล้ว เหล่าเซเลบริตี้เทคฯ คอมพานี ทั้งหลายมีมูลค่าเกินกว่าที่ควรจะเป็น และบางเจ้าก็มากเกินไปถึงร้อยเปอร์เซ็นต์

ข้อมูลที่มาจากรายงานของ ศาสตราจารย์ อิลญ่า สเตรบูลาเยฟ ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ได้ลองแตกตัวเลขของเหล่ายูนิคอร์นออกมา เขาพบว่ามีสตาร์ทอัปที่กลายเป็นยูนิคอร์น มากกว่า 130 รายที่มีมูลค่าสูงเกินจริงไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของ 130 รายนั้นกลายร่างจากยูนิคอร์น เป็นเพียงม้าทั่วไป และมีมูลค่าลดลงจาก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ท้ายที่ที่สุดพวกเขาสูญเสียตำแหน่งยูนิคอร์นอันเกิดจากภาพลวงตา

รายงานฉบับดังกล่าวของศาสตราจารย์ อิลญ่า นั้น ตรงกับความคิดเห็นของ แมรี่ โจ ไวท์ ซึ่งเป็นประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแมรี่ โจ ไวท์ กล่าวเอาไว้ว่า

“ในขณะที่สตาร์ทอัปเกิดใหม่ขึ้นทุกวัน และมีหลายเจ้าที่พยายามจะทำมูลค่าให้ถึงหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เราต่างมองดูแต่ตัวเลขโดยที่ไม่ได้พิจารณาว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่เหล่านั้นได้สร้างขึ้นเป็นความสำเร็จที่แท้จริง และจะมีความยั่งยืนได้ขนาดไหน”

สิ่งที่แมรี่ โจ ไวท์ ได้กล่าวไว้ไม่เกินจริง เพราะนอกเหนือจากการพิจารณาว่าสตาร์ทอัปยูนิคอร์นนั้นสร้างความสำเร็จได้สมมูลค่าพันล้านจริงหรือไม่ สิ่งต่อมาคือการพิจารณาเงินทุนที่มาจากนายทุนซึ่งต้องการเก็งกำไร ซึ่งไม่ใช่รายได้ที่แท้จริง

เมื่อพิจารณาแบบลงลึกลงไป “ลัทธิยูนิคอร์น” ที่เหล่าสตาร์ทอัปต่างต้องการก้าวไปให้ถึงนั้นต่างมีปัญหาเรื่อง “การทำกำไรที่แท้จริง” แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินลงทุน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าเหล่ายูนิคอร์นนั้นมีปัญหากับการสร้างผลกำไรกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองในอดีต และมีแนวโน้มที่จะสร้างผลกำไรในอนาคตเช่นกัน

ไม่จำเป็นเสมอไปที่สตาร์ทอัปต้องกลายร่างเป็น “ยูนิคอร์น” 

และถ้ามองให้ลึกลงไปอีก จะพบว่าเหล่าสตาร์ทอัปที่ขึ้นมาเป็นยูนิคอร์น ส่วนใหญ่จะหมดความน่าสนใจไปเพราะส่วนหนึ่งต้องฟังนายทุนที่นำเงินมาระดมทุน ไม่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กรณีศึกษาที่น่าสนใจกับอดีตยูนิคอร์น อย่าง Jawbone สตาร์ทอัปที่ผลิตแกดเจ็ตสำหรับสวมใส่และเป็นหนึ่งในบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ IoT (Internet of Things)

เมื่อครั้งที่อยู่ในช่วงพีคนั้น Jawbone มีมูลค่าถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะปิดตัวไปในเดือนกรกฎาคมปี 2017 เนื่องจากมีปัญหาทางด้านการเงิน และ บริษัทอยู่ในระหว่างการจัดการของกฎหมายล้มละลายของสหรัฐอเมริกา นั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่าง

เอาเข้าจริงแล้ว การสร้างธุรกิจนั้นถ้าคุณตั้งเป้าเพื่อทำเงินมหาศาล เป็นเซเลบริตี้ในคลับยูนิคอร์น คุณไม่ได้ทะเยอทะยานเกินไป แต่คุณจะเร่งตนเองมากเกินไปจนมองไม่เห็นข้อผิดพลาด แต่ถ้าผู้ประกอบการเริ่มต้นด้วยแนวคิดในการสร้างบริษัทเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีให้กับลูกค้า สร้างผลกำไรด้วยการทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่หวังเงินจากการระดมทุน ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัปหน้าใหม่หรือเก่า สามารถวางแผนและสร้างผลงานที่เหมาะสมได้ในช่วงเวลาที่ควรจะเป็น

การทำธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิม ด้วยการพึ่งพาตนเอง ใช้เงินลงทุนจากผลกำไรของกิจการมาต่อยอดธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องโบราณ หากแต่เป็นการทำธุรกิจแบบยั่งยืน และจะทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังต่อการใช้จ่ายหรือขยายกิจการที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป

ข้อมูลแปลและเรียบเรียงส่วนหนึ่งจาก : We Are Right House