แบบนี้ก็เกินไป ลัทธิคลั่งขาวด้วยยากัดสีผม สวยอย่างไม่เข้าท่า

จริง ๆ แล้วเรื่องความอยากสวยอยากงาม เป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ สำหรับคนเรา ใคร ๆ ก็อยากที่จะดูสวย ดูหล่อ ดูดีกันทั้งนั้น ทั้งนี้ระดับความสวยงาม หรือแม้แต่มาตรฐานความสวยงามของแต่ละคนก็นั้นไม่เท่ากัน บางคนแค่อยากผิวเรียบเนียนโดยไม่จำเป็นต้องขาวก็ได้ บางคนแค่ขอให้ไม่มีสิว ไม่ได้สนใจว่าต้องผอมต้องสูงหรือต้องขาว

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ในสังคมที่ตั้งมาตรฐานความสวยขึ้นมา เกิดเป็น Beauty Standard ความงามในอุดมคติว่าเป็นผู้หญิงต้องผอม สูง ตัวเล็กน่ารัก ออกหมวย ๆ ผิวขาว หน้าตาดี ถึงจะเรียกว่า “สวย” ส่วนผู้ชายต้องสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ มีกล้าม หน้าตาหล่อเหลา ถึงจะเรียกว่า “หล่อ” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะออกมาเป็นพิมพ์นิยมแบบนั้นทุกคน มันขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อมอะไรเทือก ๆ นั้นด้วย

ความจริงแล้วเรื่องของความสวยความหล่อ ควรจะเป็นเพียงเรื่องของรสนิยม ความชอบส่วนบุคคล เพราะคนเราชอบไม่เหมือนกัน นั่นหมายถึงแต่ละคนก็มองความสวยความงามต่างกันไป แต่พอมีเรื่องมาตรฐานความงามขึ้นมากำหนด  ทำให้หลายคนหลุดจากกรอบความสวยนั้นไป กลายเป็นถูกมองว่าไม่สวยไม่หล่อ เพียงเพราะไม่เป็นตามมาตรฐานที่สังคมมองว่าควรเป็น หลายคนเป็นกังวลว่าร่างกายของตนเองขณะนี้มันไม่ใกล้เคียงความงามตามมาตรฐานที่ว่า จนต้องหาวิธีพาตัวเองไปสู่จุดที่สังคมยอมรับว่านี่แหละที่เรียกว่าสวย เรียกว่าหล่อ และบางทีก็ไม่ได้คำนึงว่าวิธีการที่เลือกมาเป็นทางลัดนั้น มันจะเป็นอันตรายหรือไม่

คนเราอยากผอม อยากขาว อยากสวยได้ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันควรเกิดจากความอยากของเราเอง โดยไม่ต้องอิงตาม Beauty Standard ที่สังคมส่วนใหญ่มากำหนดว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ถึงจะเรียกว่าสวย นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การหาทางลัดความสวยที่ไม่ปลอดภัย

ผู้หญิงสวยต้องผิวขาว

ผู้หญิงสวยต้องขาว นี่เป็นมาตรฐานแรก ๆ ที่กำหนดความสวยของผู้หญิง เพราะฉะนั้น ผู้หญิงที่ไม่ได้มีผิวไปในโทนขาว จึงเกิดไม่พอใจในสีผิวของตนเอง และหาสารพัดวิธีให้ผิวขาว

มีข้อความที่แชร์กันอยู่ในทวิตเตอร์ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยมีการแคปเอาภาพนิ่งจากคลิปวิดีโอคลิปหนึ่งในแอปพลิเคชันชื่อดัง TikTok ในคลิปคือมีผู้หญิงคนหนึ่งมาแชร์วิธีทำให้ผิวขาว ด้วยการใช้ “ผงกัดสีผม” มาขัดผิว จากนั้นก็อวดอ้างสรรพคุณว่าขาวจริง โดยต้องขัดเป็นประจำ ผิวจะเริ่มใสขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังนิ่มเนียนขึ้น สามารถเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้

ส่วนผสมของสูตรนี้มีวัตถุดิบธรรมชาติสำหรับขัดผิวธรรมดา คือ มะขามเปียก น้ำผึ้ง เกลือขัดผิว ผงพอกหน้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างจากพวก คือ ผงกัดสีผม ในมุมคนปกติก็จะรู้ทันทีว่ามันอันตรายและเป็นวิธีที่ไม่เข้าท่า แต่สำหรับคนที่ต้องการทางลัดเพื่อนำไปสู่ผิวขาว เขาไม่สนใจว่ามันอันตรายไหม สนใจแค่เพียงว่ามันทำให้ขาวได้จริงไหม

อันตรายจากสารเคมีกัดสีผม

อย่างที่เราน่าจะทราบกันอยู่แล้ว ว่าผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมจัดเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วมันส่งผลข้างเคียงต่อทั้งเส้นผม เซลล์ผม หนังศีรษะ รวมถึงสุขภาพร่างกายโดยรวม จึงได้มีคำเตือนว่าไม่ควรที่จะทำสีผมบ่อยจนเกินไป และก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อ ก็ควรมีความรู้ว่าสารเคมีต่าง ๆ อันตรายอย่างไร ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมโดยทั่วไปจะมีสารเคมี ดังนี้

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)

เป็นสารเคมีเร่งปฏิกิริยาการติดสี มีผลในการทำลายเส้นผม กัดสีผม และทำลายเซลล์ผม รวมถึงเซลล์สร้างเม็ดสีผม หากใช้อย่างไม่ระมัดระวังเมื่อถูกผิวหนังจะมีอาการแสบ ระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ในคนที่เปลี่ยนสีผมบ่อย ๆ ก็มีผลให้ผมแห้งเสีย แข็งกระด้าง และที่สำคัญนี่เป็นสารก่อมะเร็ง

พีพีดี (PPD : Para-Phenylene Diamine)

พบในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมส่วนมาก ทั้งแบบที่ระบุว่ามีและไม่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ผู้ที่ย้อมสีผมเป็นประจำจนมีสารนี้ตกค้างมีโอกาสเป็นมะเร็งบริเวณหนังศีรษะ

แอมโมเนีย (Ammonia)

เป็นสารเคมีที่พบควบคู่กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เพราะช่วยให้สีติดได้ดีขึ้น อันตรายของสารเคมีชนิดนี้คือฤทธิ์ความเป็นกรดด่างที่สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมเสีย ผมร่วง รากผมอ่อนแอ และเนื่องจากมีกลิ่นฉุนรุนแรง แสบจมูก จึงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ

โลหะหนัก จำพวกเงินไนเตรต (Silver Nitrate) และตะกั่วอะซีเตด (Lead Acetate)

พบในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมให้กลายเป็นสีดำเนื่องจากผมหงอก เมื่อทำปฏิกิริยากับอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เป็นสารพิษที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองบนหนังศีรษะ หากเข้าตาสามารถทำลายเยื่อหุ้มตาซึ่งอันตรายถึงขั้นตาบอด หากตกค้างและสะสมในร่างกายสามารถทำลายสมองและประสาทสัมผัส จัดเป็นสารก่อมะเร็งด้วย

ด้วยสารเคมีเหล่านี้ หลายคนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมจากสมุนไพร แต่ถ้าไม่เลือกให้ดีก็จะไม่ทราบว่าบางยี่ห้อมีส่วนผสมของพืชที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากนำมาใช้ไม่ถูกวิธี เช่น

  • มะเกลือ มีสารไดออสไพรอล เป็นพิษต่อประสาทตา อันตรายถึงขั้นตาบอดได้แม้ไม่ได้สัมผัสโดยตรง
  • พญามือเหล็ก มีสารสตริกนิน มีความเป็นพิษ สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งทางระบบทางเดินอาหาร เยื่อบุจมูก

ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนเลือกที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมาทำเองเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ก็อาจซื้อผลิตราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานการผลิต ผสมสารเคมีที่ก่อให้เกิดภาวะความเป็นพิษเกินมาตรฐาน ก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

มีข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จะเรียกว่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ฟอกสีผมเองก็ได้ เพราะหญิงสาวในข่าวซื้อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมาทำเอง ทั้งที่ฉลากระบุว่าควรให้ช่างผมมืออาชีพทำ ผมที่เกิดขึ้นคือหนังศีรษะแดง มีน้ำเหลืองไหล และผมพังยับ เปื่อยยุ่ย ขาดครึ่งเป็นหย่อม ๆ นี่คืออันตรายของสารเคมีกัดสีผม

ผิวหนังคนเราไม่ใช่แผ่นอิฐแผ่นปูน

ผิวหนังคนเราบอบบางกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คิดอยากจะเอาอะไรมาพอกมาขัดก็สามารถทำได้ตามใจโดยไม่ศึกษาถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น อย่างที่เห็นจากข่าว การย้อมสีผมที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำเองโดยที่ไม่ใช้ช่างที่ชำนาญ ยังทำให้ศีรษะพังได้ขนาดนั้น หากนำมาใช้กับผิวหนัง ก็สามารถทำให้เกิดผื่นแพ้จากการสัมผัสได้

สารเคมีหลายตัวในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมทำให้เกิดผื่นคัน โดยเฉพาะ PPD ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในผู้ใช้ยาย้อมผมส่วนใหญ่ ลักษณะของผื่นแพ้อาจเป็นผื่นแดง หรือตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ มีอาการคันมาก จะเห่อขึ้นเฉพาะที่บริเวณที่ไปสัมผัสถูกน้ำยาย้อมผม ตุ่มน้ำใสนั้นอาจรวมกันจนเป็นตุ่มพองใหญ่ พอแตกจะมีน้ำเหลืองไหล เมื่ออาการดีขึ้น ผิวหนังจะแห้งเป็นขุย หนาตัวด้านขึ้น มีสีคล้ำลง เป็นรอยด่างขาว และการเกาเพราะอาการคันจนเป็นแผล ก็อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่บนฉลากของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมจะมีการเตือนให้ทดสอบอาการแพ้ก่อนทำการเปลี่ยนสีผม แม้ว่าจะเคยใช้ยาย้อมผมชนิดนั้นโดยไม่เกิดการแพ้มาก่อนก็ตาม ธีทดสอบการแพ้ที่เรียกว่า Patch Test ระบุในใบแทรกที่แนบมากับผลิตภัณฑ์ โดยทำความสะอาดบริเวณหลังใบหู หรือบริเวณข้อพับข้อศอกด้านใน แล้วใช้ก้านสำลีจุ่มยาย้อมผมที่ผสมแล้วเพียงเล็กน้อยทาที่บริเวณดังกล่าวให้กว้างประมาณครึ่งนิ้ว ทิ้งไว้ให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออกเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง หากมีอาการแพ้สารเคมีจนมีอาการคันหรือผื่นแดง ก็ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์นั้น

ในรายที่ใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแบบไม่ระมัดระวังจนสัมผัสถูกบริเวณผิวหนัง จะมีอาการแสบ คันยุบยิบ บริเวณที่สัมผัสเปลี่ยนเป็นสีขาว กระดำกระด่าง มีเลือดออกได้ เพราะฉะนั้น ในการย้อมผม ผู้ที่ย้อมยังต้องใส่ถุงมือ สวมผ้าปิดปากปิดจมูก ต้องปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันร่างกายสัมผัสน้ำยา และระมัดระวังอย่างมากอย่าให้สารเคมีสัมผัสกับผิวหนังหรือเข้าตา เพราะมันอันตรายมาก เช่นนี้แล้ว หากนำมาเป็นสารที่ใช้ขัดผิวตามีคลิปวิดีโอนั้นกล่าวอ้าง คิดว่าจะปลอดภัยต่อสุขภาพอยู่อีกไหม

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ บางคนก็หาซื้อครีมทาผิวที่ขายกันเกลื่อนในอินเทอร์เน็ต ครีมพวกนี้ผสมสารปรอทหรือสารเคมีอื่น ๆ  ที่อ้างว่าเป็นสารที่ใช้แล้วขาว ครีมเหล่านั้นไม่ผ่านมาตรฐานการผลิต รวมถึงไม่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ หรือแม้แต่พวกผลิตภัณฑ์ (ที่อ้างว่า) เสริมอาหาร ก็ใส่นู่นนี่นั่นมาแล้วอ้างว่ากินแล้วผิวขาวมีออร่า ก็ยังมีคนหลงเชื่อ

การที่คนเราอยากสวยนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเลือกทางลัดแบบผิด ๆ อาจจะทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น อย่าหาทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ หากอยากมีผิวที่ดูสว่างขึ้น แค่พยายามดื่มน้ำมาก ๆ หมั่นทาครีมกันแดด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งที่ได้มาตรฐานการผลิต เลือกอาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุที่มีผลต่อผิว หรือถ้าเกิดอยากจะขาวลัดขาวเร็ว เก็บเงินไปฉีดผิวกับคลินิกที่ได้มาตรฐานยังจะปลอดภัยกว่าเสียอีก

ข้อมูลจาก ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, Siamchemi