แม้ว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไทยจะได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพเป็นลำดับต้น ๆ ในโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่สามารเข้าถึงการบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้ ปัญหาหลัก คือ การเดินทาง และความยุ่งยากในการเดินเรื่องและส่งเอกสาร
แต่นับตั้งแต่ 1 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป คนไทยที่ถือสิทธิ “บัตรทอง” ในการรักษาพยาบาล จะสามารถเข้ารับบริการด้านสุขภาพได้สะดวกขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่ตนมีชื่ออยู่เท่านั้น แต่จะรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น นำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อนขยายสู่พื้นที่อื่น
การยกระดับระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุขนี้ เริ่มด้วยการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรณีนี้ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยที่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยสะดวกมากที่สุดเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนอีกขั้น คือ ไม่ต้องดำเนินเรื่องวุ่นวายเท่าแต่ก่อน
รายละเอียดในการคลายข้อจำกัดนี้จะครอบคลุม 4 เรื่องคือ (ทั้งนี้ควรอ่านรายละเอียดให้ชัดเจน)
1. ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้
คือ การให้ผู้ป่วยใช้สิทธิรักษาในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ได้แก่ การรักษาอาการเบื้องต้นในสถานพยาบาลละแวกใกล้เคียงเขตของตนเองได้ทุกแห่ง จากเดิมที่ทำไม่ได้ เพราะผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลสิทธิของตนเองเท่านั้น
ซึ่งสิทธินี้จะเริ่มให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครทดลองรับบริการก่อน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะประสานหน่วยบริการจำนวน 500 แห่ง เข้ามาเป็น “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” ได้แก่ คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น ผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถใช้บริการได้ทุกแห่งภายในเขตของตนเอง แต่ไม่ใช่เป็นการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลการแพทย์ หรือโรงพยาบาลใหญ่ ๆ อย่างที่เข้าใจกันก่อนหน้านี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 นี้เป็นต้นไป
2. “ผู้ป่วยใน” ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป
ตามนโยบายใหม่นี้ หากผู้ป่วยไปเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาแล้ว หากโรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว เพราะ สปสช. จะจัดทำระบบออนไลน์เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ
กล่าวคือ หากผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลข้ามจังหวัด (แต่ต้องอยู่ในจังหวัดเขตสุขภาพ) ก็สามารถนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นได้เลย ไม่ต้องกลับไปโรงพยาบาลต้นทางเพื่อขอใบส่งตัว นำร่องในเขตสุขภาพที่ 9 ใน 4 จังหวัด นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และชัยภูมิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 เช่นเดียวกัน
3. ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใดก็ตาม สามารถรักษาที่ใหม่ได้ทันที
ที่ผ่านมาการย้ายหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำ เมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการ จะต้องรออีก 15 วัน (หลังทำเรื่องย้าย) จึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้ แต่ต่อจากนี้ ผู้ใช้สิทธิทั่วประเทศที่ทำเรื่องขอย้ายหน่วยบริการแล้ว ไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป ทำเรื่องย้ายเมื่อใดก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันที เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป
4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ไม่แออัด
อย่างที่เราทราบกัน ว่ามะเร็งเป็นโรคที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว การรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน มีความซับซ้อน และมีหลายชนิด ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีศักยภาพในการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เท่ากัน อีกทั้งบางแห่งยังแออัด มีผลทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้ว ทางหน่วยบริการผู้วินิจฉัยโรคจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายัง สปสช. เพื่อให้ สปสช. ประสานงานจัดหาโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่ไม่แออัด และมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งสูง ตามชนิดของมะเร็งนั้น ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาที่ดีและสะดวกที่สุด แต่ทั้งนี้จะให้เป็นการเฉพาะราย จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและเหมาะสมตามอาการ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน การติดตามอาการ และแนะนำการกินยาผ่านระบบสื่อสารทางไกลด้วย เริ่ม 1 ม.ค. 2564 เช่นเดียวกัน
สปสช. จะประกาศรายชื่อสถานพยาบาลทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทองในวันที่ 1 พ.ย. 2563 และประสงค์ว่าการคลายข้อจำกัดต่าง ๆ ของการใช้บริการบัตรทองในครั้งนี้ คือ จะช่วยยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลที่ดี มีมาตรฐาน ง่าย และสะดวกสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน