“เอ็มมานูเอล มาครง” เผยแล้ว ที่มา “จับมือโลกสะเทือน” กับ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ภาพจาก www.cnn.com

หลังจากตกเป็นประเด็นข่าวพาดหัวกรณี “การจับมือ” กับ โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาวัย 70 ปี  ผู้ที่ชอบสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้อื่นในทุกครั้ง ล่าสุด เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีคนใหม่ของฝรั่งเศส วัย 39 ปี ให้สัมภาษณ์กับ Journal du Dimanche สื่อในบ้านเกิด ถึงเรื่องนี้แล้ว

โดยยืนยันชัดเจนว่า การจับมือที่ดูจะยาวนานชนิดที่ไม่ยอมปล่อยมือทรัมป์  เมื่อครั้งพบกันที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงบรัสเซลส์ ของเบลเยียม ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (องค์การนาโต) นั้น มีนัยสำคัญที่เขาต้องการสื่อสารกับผู้นำรุ่นพ่ออยู่ด้วย ไม่ใช่การจับมือกันแบบเด็กๆ ไร้เดียงสา แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่า “เราจะไม่โอนอ่อนผ่อนตามในเรื่องเล็กๆ แม้กระทั่งการจับมือ”

นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสยังบอกด้วยว่า การสัมผัสมือในครั้งนี้ “ไม่ใช่จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเมือง แต่มันคือช่วงเวลาแห่งความจริง”

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายเคยวิเคราะห์การจับมือของทรัมป์เอาไว้ว่า การที่เขาชอบดึงมืออีกฝ่ายเข้าหาตัว และยังชอบตบหลังมืออีกฝ่าย เหมือนเมื่อครั้งที่ทำกับ ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น รวมถึง ไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น  เป็นเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า “ตัวเองมีอำนาจเหนือกว่า”

แต่กับผู้นำรุ่นลูกอย่างมาครง  ดูเหมือนว่าคนที่แสดงให้เห็นว่ามีอำนาจเหนือกว่ากลับไม่ใช่ทรัมป์ เพราะนอกจากเขาจะถูกผู้นำฝรั่งเศสบีบมือแน่นจนเลือดแทบไม่เดินแล้ว เขายังพยายามจะปล่อยมือจากการควบคุมของมาครงถึง 2 ครั้งด้วย!