“ข้อควรระวัง” ของเด็กจบใหม่ในการสมัครงาน

เข้าสู่ช่วงที่นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีสำเร็จการศึกษา ขั้นต่อไปคือการ “สมัครงาน” แต่ด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ หลายคนไม่เคยมีประสบการณ์ในการสมัครงานหรือสัมภาษณ์งาน ซึ่งอาจจะเกิดอาการประหม่าจนทำตัวไม่ถูก และหลุดการเตรียมตัวในหลาย ๆ จุดไป

Tonkit360 จึงมีคำแนะนำดี ๆ ให้กับเด็กจบใหม่ ว่าในการสมัครงานและเข้าสัมภาษณ์งานมีข้อควรระวังในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่ถึงเวลาจริงจะได้เป็นผู้สมัครงานที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ทั้งนี้ขอให้น้อง ๆ ได้งานตามที่ปรารถนา

1. การเขียนเอกสารแบบกิจธุระและการกรอกใบสมัคร

เด็กจบใหม่หลายคนมีปัญหาเรื่องการเขียนเอกสารแบบกิจธุระ (เช่น จดหมายสมัครงาน เอกสารแนะนำตัวเอง เรซูเม่ และอีเมล) รวมถึงการกรอกใบสมัครงาน สิ่งที่ต้องคำนึงคือ นี่เป็น “เอกสารที่ใช้สมัครงาน เพื่อให้มีอาชีพทำ” ความเป็นมืออาชีพจึงต้องมี ในการกรอกเอกสารจึงต้องเขียนให้ถูก ไม่ใช่เขียนแบบตามใจฉัน ซึ่งสามารถหารูปแบบเป็นทางการได้จากในอินเทอร์เน็ต (อ่าน 5 มารยาทที่พึงรู้ ในการติดต่อสื่อสารลักษณะ “กิจธุระ”)

ส่วนการกรอกใบสมัครก็ไม่ควรที่จะเขียนผิดบ่อย ๆ มีรอยขีดฆ่า หรือรอยน้ำยาลบคำผิดเลอะเทอะไปหมด จะเขียนอะไรลงไป ตั้งสติดี ๆ ก่อน อ่านให้ละเอียดรอบคอบ และกรอกข้อมูลให้ครบทุกหน้าทุกข้อที่ตนเองมีข้อมูล ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง และที่สำคัญ ต้องเขียนด้วยลายมือที่สามารถอ่านออก พร้อมแนบเอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครงานให้ครบถ้วน (อ่าน เช็กลิสต์เอกสารที่ต้องพร้อม เมื่อเตรียมตัวไปสมัครงาน)

2. การเรียกเงินเดือน

ปัจจุบัน เงินเดือนขั้นต่ำของผู้สมัครที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีคือ 15,000 บาท แต่หลายที่ให้ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งก็อยู่ที่การพิจารณาของแต่ละคนว่าสามารถยืดหยุ่นได้เท่าไร และต่อรองอย่างไรได้บ้าง โดยดูว่าเป็นงานที่คุ้มค่าให้เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เราไม่เคยมีหรือไม่ ถ้าคุ้ม ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ

แต่ถ้าเรามั่นใจในศักยภาพและความสามารถ เราสามารถเรียกได้มากกว่านั้น ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เหมาะสมกับการศึกษา ประสบการณ์ และความสามารถที่ทำได้จริง และควรทำการบ้านมาก่อน ว่าตำแหน่งงานนี้มีอัตราค่าจ้างมาตรฐานอยู่ที่เท่าไร และองค์กรที่จะสมัครงาน เพราะขนาดองค์กรก็มีผลต่อเงินเดือนเช่นกัน เพื่อที่เราไม่เรียกเงินเดือนที่เฟ้อจนเกินความเหมาะสม

หากเป็นองค์กรที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการจะทำงานที่นี่จริง ๆ อาจจะมองผลตอบแทนอื่น หรือสวัสดิการอื่นมาทดแทน เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือกองทุนต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่องค์กรทั่วไปมี หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตรวจดูเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร อ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนว่าเป็นไปตามที่ตกลงกันด้วยวาจาหรือไม่

3. อย่าอวดภูมิจนเกินงาม อย่าอวยองค์กรจนออกนอกหน้า

เป็นเรื่องระหว่างการสัมภาษณ์ และพูดคุยเรื่องทั่วไประหว่างสัมภาษณ์ สิ่งที่ต้องระวังคือต่อให้บรรยากาศจะผ่อนคลายเพียงใด ก็ต้องสงวนท่าทีและรักษามารยาท การตอบคำถาม ต้องตอบตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง ซึ่งควรมีการกลั่นกรองและทำการบ้านมาอย่างดี สื่อสารออกมาให้เป็นกลางที่สุด มีความสมเหตุสมผล

นอกจากนี้ ระวังการตอบคำถามที่เอาใจผู้ฟังจนดูออกเพราะหากโดนจี้ลึก ๆ เข้า ก็จะเริ่มไปไม่เป็น ดูไม่เป็นธรรมชาติ ไม่จริงใจ อาจจะโป๊ะแตกเอาได้ ที่สำคัญ ไม่ควรอวดภูมิตนเองจนเกินงาม อย่าลืมว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานจริงมาก่อน การโอ้อวดสรรพคุณตนเองเกินจริงอาจทำให้แพ้ภัยตัวเองในภายหลังจากที่ได้งานทำ และการที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ยังส่อแววว่าเป็นคนอีโก้จัด เมื่อทำงานจริงก็คือคนที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนั่นเอง

4. แสดงความไม่มืออาชีพ

จริงอยู่ที่เด็กจบการศึกษาใหม่ไม่มีทั้งประสบการณ์การทำงานและประสบการณ์การสัมภาษณ์งาน แต่การแสดงออกอย่างมืออาชีพนั้นสามารถฝึกกันได้ และควรจะต้องฝึก เพราะทำให้เราดูเป็นคนที่มีความพร้อมที่จะเข้าสู่การทำงานซึ่งต่างจากการเรียน

กาคแสดงออกอย่างมืออาชีพในที่นี้คือ จะต้องไม่แสดงความเป็นเด็กออกมา โดยเฉพาะการแต่งกายและบุคลิกภาพ ต้องควบคุมให้อยู่ในขอบเขตของกาลเทศะ แม้ว่าจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่ความสุภาพและมารยาทเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องคำนึงถึงและรักษาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบริษัทจนออกก้าวเท้าออกจากบริษัท อย่าเผลอทำตัวตามสบายจนเกินงาม ผ่อนคลายอย่างพอดีและถูกจังหวะ สิ่งเหล่านี้คือความประทับใจแรกที่กรรมการสัมภาษณ์งานสัมผัสความเป็นมืออาชีพของเรา และนำไปประกอบการพิจารณาและตัดสินใจรับเข้าทำงานได้

5. โอกาสมีมากกว่าถ้าพร้อมเริ่มงานทันที

เป็นคำถามที่ผู้สมัครงานทุกคนน่าจะเคยโดนถามอย่างแน่นอนว่าพร้อมเริ่มงานเมื่อไร หรือต่อให้กรรมการสัมภาษณ์ไม่ถาม ก็ต้องระบุลงในใบสมัครอยู่ดี ปกติแล้วถ้าผู้สมัครได้รับคำถามนี้แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี มีโอกาสสูงเลยทีเดียวที่จะได้งาน

อย่างไรก็ตาม หากทางบริษัทพร้อมที่จะรับเราแล้ว เราก็ต้องพร้อมที่จะเริ่มงานด้วย การระบุเวลาที่พร้อมจะเริ่มงาน ควรระบุระยะเวลาที่แน่นอน ยิ่งใกล้ได้มากที่สุดก็ยิ่งดี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความกระตือรือร้น ถ้าปล่อยให้องค์กรรอนานเกินไป ตำแหน่งที่หมายปองอาจจะหลุดตกไปเป็นของคู่แข่งที่มีความพร้อมมากกว่าก็เป็นได้ ทั้งนี้ควรระวังการแสดงออกในเชิงดีใจจนออกนอกหน้าว่าอยากทำงานไว ๆ เพราะกลัวไม่มีงานทำไว้ด้วย