หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าวันที่ 3 สิงหาคมของทุกปีนั้น เป็นวันแตงโมแห่งชาติ!
ย้อนไปในอดีตกาล มนุษย์รู้จักผลไม้สุดแสนอร่อยและหวานฉ่ำที่เรียกว่า “แตงโม” มานานหลายพันปีแล้ว โดยมีหลักฐานมาตั้งแต่อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณ ในช่วงต้นสหัสวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช ว่าการเพาะปลูกแตงโมนั้นเริ่มขึ้นในหุบเขาที่แม่น้ำไนล์ไหลผ่าน หลักฐานที่ว่า คือการพบเมล็ดแตงโมในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน (KV62) ซึ่งเป็นสุสานในสมัยอียิปต์โบราณที่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แม้จะผ่านล่วงเวลามาเป็นพัน ๆ ปี
ที่มาของวันแตงโมแห่งชาติ
ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนว่าที่มาของวันแตงโมแห่งชาติเริ่มต้นมาจากอะไร แต่สันนิษฐานว่าเริ่มต้นจากเกษตรกรที่ปลูกแตงโม ทำเป็นเหมือนเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากแตงโมเป็นพืชที่มีน้ำมาก ลดความร้อนในร่างกายได้ เมื่อได้กินแล้วจึงรู้สึกสดชื่นดับกระหาย ที่สำคัญยังเป็นเทศกาลไม่เป็นทางการในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย แตงโมจึงเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะรสชาติอร่อย ที่สำคัญยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย
ประโยชน์และโทษของแตงโมต่อร่างกาย
แตงโมขึ้นชื่อเรื่องการให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย เนื่องจากแตงโมนั้นประกอบด้วยน้ำมากถึง 92 เปอร์เซ็นต์ มีรสชาติหวานแต่น้ำตาลน้อยกว่าผลไม้บางชนิด โดยน้ำตาลที่อยู่ในแตงโมคือน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมมาใช้ได้ทันที ด้วยปริมาณน้ำที่มากขนาดนี้ จะช่วยให้รู้สึกอิ่ม ไม่หิวบ่อย จึงช่วยลดความอ้วนได้
แตงโมส่วนที่กินได้ปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานอยู่ที่ 30 กิโลแคลอรี่ แตงโมจึงเป็นผลไม้ที่มีไขมันต่ำ แต่มีวิตามินและเกลือแร่นานาชนิดที่ร่างกายจำเป็นต้องรับในแต่ละวัน โดยแตงโมเป็นพืชที่มีคุณสมบัติเย็น กินแล้วหวานชื่นใจ และยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง รักษาแผลในปาก บำรุงบำรุงสายตา ผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรง รวมถึงมีสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่ให้สรรพคุณคล้ายยาแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ จึงออกฤทธิ์กระตุ้นให้หลอดเลือดคลายตัว ช่วยให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม อะไรที่มากเกินพอดีก็ให้โทษต่อร่างกาย
- แตงโมสามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เนื่องจากแตงโมมีใยอาหารและน้ำในปริมาณสูง ซึ่งช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ซึ่งถ้าหากกินมากเกินไปจะทำให้ขับถ่ายคล่องเกินไป อีกทั้งยังทำให้ท้องอืด มีลมในท้องและตัวบวม
- แตงโมไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่างที่บอกว่าในแตงโมมีน้ำตาลในปริมาณสูง แม้ว่าจะให้พลังงานไม่มากและเอาไปใช้ได้ทันที แต่ได้กับคนที่ร่างกายปกติเท่านั้น หากเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานควรหลีกเลียง หรือปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะกิน
- แตงโมทำให้โซเดียมในเลือดไม่สมดุล เนื่องมาจากแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำมากถึง 92 เปอร์เซ็นต์ การกินแตงโมปริมาณมาก ๆ ในคราวเดียวทำให้ร่างกายได้รับน้ำมากเกินไป ซึ่งจะทำให้โซเดียมในร่างกายเจือจางลง ซึ่งถ้าเข้าสู่ภาวะอันตรายจะทำให้ขาบวม อ่อนเพลีย และไตเสื่อมได้
- โพแทสเซียมในแตงโมมีผลต่อหัวใจ แม้ว่าโพแทสเซียมจะมีประโยชน์ต่อทั้งหัวใจ กระดูก และกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้ากินมากเกินไป แทนที่โพแทสเซียมจะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ กลับเป็นโทษแทน เนื่องจากหากมีโพแทสเซียมสูงเกินไปจะส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้า ชีพจรเต้นเบา อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
- แตงโมทำให้เกิดอาการตับอักเสบ โดยเฉพาะกับผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ เนื่องจากในแตงโมจะมีส่วนประกอบของไลโคปีน ซึ่งเป็นสารที่พบในพืชผักผลไม้สีส้มและสีแดง ซึ่งอาจทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์จากการออกซิเดชันจนทำอันตรายต่อตับได้
การเฉลิมฉลองวันแตงโมแห่งชาติ
ในหลาย ๆ ชาติ จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ในวันแตงโมแห่งชาติ เช่น
- ทำน้ำแตงโมผสมกับวอดก้า ซึ่งวิธีการก็ง่าย ๆ โดยการเจาะรูที่เปลือกแตงโม จากนั้นเทวอดก้าลงไปให้ซึมไปแทนที่น้ำในผลแตงโม เป็นเครื่องดื่มที่สดชื่น อีกทั้งยังสามารถจัดปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ ได้
- แกะสลักแตงโม แตงโมสามารถนำมาแกะสลักได้ อย่างที่เห็นทำกันในบ้านเรา เช่น แกะสลักเป็นดอกกุหลาบ ดอกรักเร่ ตะกร้าแตงโม เป็นต้น จึงสามารถใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่
- เล่นเกมซุยกาวารี เป็นการละเล่นในหน้าร้อนของญี่ปุ่น อาจจะเรียกว่า “ปิดตาตีแตงโม” ก็ได้ ซึ่งคล้ายกับการละเล่นพื้นบ้านปิดตาตีหม้อบ้านเรา ผู้เล่นจะถูกปิดตาแล้วให้หมุนรอบตัวเอง 3 รอบ จากนั้นก็เดินไปตีลูกแตงโมให้แตก
เทศกาลวันแตงโมแห่งชาติ เป็นที่นิยมเฉลิมฉลองในหลายประเทศ สาเหตุเพราะแตงโมเป็นได้ทั้งผักและผลไม้ ด้วยแตงโมเป็นพืชตระกูลเดียวกับแตง ประเภทเดียวกับแตงกวา ฟักทอง น้ำเต้า บวบ ฟัก และแฟง อีกทั้งแตงโมมีความหลากหลาย มากกว่า 1,200 สายพันธุ์ มีให้เห็นตั้งแต่สีชมพูถึงสีส้ม ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก แม้กระทั่งรูปทรงที่หลากหลาย ทั้งทรงกลมและทรงลูกบาศก์ (ที่พบในญี่ปุ่น)
แตงโมกินได้ไม่อ้วน ส่วนน้ำแตงโมสามารถดื่มแทนน้ำได้ โดยให้ทั้งความสดชื่นและพลังงานน้อย นำมาพลิกแพลงทำอาหารอะไรก็อร่อย ยิ่งถ้านำไปแช่เย็นก่อนกินนั้นยิ่งฟินสุด ๆ คลายร้อนและทำให้ร่างกายสดชื่นนั่นเอง
ข้อมูลจาก National Today, Days of the Year, Holidays Calendar, NDTV Food