Work from Home บทพิสูจน์ “มืออาชีพ”


ภาพจาก freepik.com

เชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนที่กำลัง Work from Home อยู่ในตอนนี้ คงมีความคิดอยู่ในหัวไม่ต่างกันว่าทำไมทำงานอยู่บ้านถึงได้หนักหนาสาหัสแบบนี้ ทั้งที่ชีวิตน่าจะสบายขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาหรือเสียอารมณ์ไปกับรถติด เวลาเดินทางในช่วง Rush Hour

แม้ว่ามี “ฮาวทู” ให้ตามอ่านมากมายเกี่ยวกับเคล็ดลับในการ Work from Home แต่เมื่อถึงคราวปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้อย่างทฤษฎี หลายคนจึงรู้สึกหมดพลัง และบางทีเลยเถิดไปจนถึงขั้น “หมดไฟ” เลยก็มี!

สาเหตุหลัก ๆ น่าจะเป็นเพราะงานที่ทำไม่ได้จบที่เราคนเดียว เมื่อทำงานกันเป็นทีมก็ต้องมีการติดต่อประสานงานตามมา จึงทำให้หลายคนเสียเวลาในการสื่อสารกับทีมงานผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้งานลุล่วงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการแชตกันส่วนตัว หรือวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ กันหลายคน

การสื่อสารผ่านข้อความย่อมมีอุปสรรคกว่าการพูดคุยกันแบบเห็นหน้าเป็นธรรมดา กว่าจะคุยกันได้รู้เรื่องจึงเปลืองเวลาไปไม่น้อย และยังส่งผลให้งานสะดุดหรือไม่คืบหน้าตามมาด้วย ยิ่งมีทีมงานหลายคนก็ยิ่งต้องใช้พลังงานเยอะ สุดท้ายกว่างานจะเสร็จก็ล่าช้าไปมาก และเป็นเหตุให้เลิกงานช้าไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ การทำงานอยู่บ้านยังทำให้หลายคนอดรู้สึกไม่ได้ว่า “ทุกวันคือวันทำงาน” เพราะยังโดนตามงานกันอยู่ทุกวันทุกเวลา แม้เป็นช่วงนอกเวลางานหรือเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม จนบางคนทนไม่ไหวถึงกับต้องระบายสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ลงในโซเชียลเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุมเหล่านี้จะทำให้การ Work from Home มีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทต่าง ๆ จะได้คัดกรองพนักงานของตนเองไปในตัวว่ามีใครบ้างที่ทำงานอย่างมืออาชีพ และยังรักษาคุณภาพหรือมาตรฐานการทำงานของตนเองเอาไว้ได้

แน่นอนว่าคนที่มีศักยภาพในการทำงาน ย่อมมีพื้นฐานของ “ความมีวินัย” อยู่ในตัว แม้ว่าไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้านายหรือหัวหน้า แต่วินัยในการทำงานก็ไม่ได้ย่อหย่อนไปจากเดิม ต่างจากคนที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ก็จะเผย “ความขี้เกียจ” ออกมาให้เห็นในช่วงที่ไกลหูไกลตาคนอื่นแบบนี้

…และหากเมื่อใดก็ตามที่บริษัทมีนโยบายปรับโครงสร้างองค์กรหรือลดจำนวนพนักงานขึ้นมา ก็คงไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากมายว่าควรจะให้ใครอยู่หรือไปดี?