เมื่อวานนี้ ก่อนที่การประกาศผลการเลือกตั้งฝรั่งเศสจะนับคะแนนกันอย่างเป็นทางการ ผู้เขียนที่ติดตามข่าวมาโดยตลอด ได้รับคำถามจากน้องที่ทำงานด้วยกันว่า “ทำไมเราต้องสนใจการเลือกตั้งฝรั่งเศสด้วยครับพี่ ในเมื่อคนละประเทศกับเรา และ ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับเมืองไทย” ผู้เขียนเลยอธิบายให้น้องคนนั้นฟังแบบสั้นๆว่า “การเลือกตั้งฝรั่งเศสเราไม่มีสิทธิออกเสียงในประเทศเขาอยู่แล้ว แต่ผลกระทบจากผู้นำจะส่งผลต่อนโยบายระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั้งโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย”
พอตอบน้องเขาไปแล้ว ก็มานั่งตรองดูต่อว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจะไม่ใช่แค่มุมของนโยบายต่างประเทศอย่างเดียว โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว มองว่า “เอ็มมานูเอล มาครง” ได้ทำสิ่งที่นักการเมืองทั่วไปไม่ทำ และอาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่นักการเมืองอาชีพที่ผ่านมา “มาครง” คือนักการเงินอาชีพ ที่เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจมาก่อน
สิ่งที่ เอ็มมานูเอล กล้าทำคือการเปิดตัวภรรยาของตนเองสู่สาธารณชนด้วยความภาคภูมิใจ แม้ว่าตนเองจะมีอายุ 39 ปี ขณะที่ภรรยา บริจิตต์ มาครง นั้นอายุ 64 ปีทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2007 ในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จักหนุ่มน้อยมาครง ที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางการเงินให้กับ กระทรวงเศรษฐกิจฝรั่งเศส แต่การแต่งงานก็เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนฝูงและคนรอบข้างไม่น้อย
ความรักที่มีต่อภรรยาซึ่งอายุมากกว่าเกือบ 25 ปี และให้เกียรติแก่เธอในทุกครั้งที่ประทับใจผู้คนมากที่สุดคือครั้งที่ มาครง ชนะการหยั่งเสียงเลือกตั้งครั้งแรกเขากล่าวกับสื่อมวลชนและผู้ที่มาร่วมยินดีในชัยชนะด้วยการกล่าวขอบคุณ “บริจิตต์ มาครง” ที่เป็นคนดูแลเรื่องตารางการหาเสียง คอยตรวจคำปราศรัย และ ดูแคมเปญการเลือกตั้งให้กับตนเอง “มาครง” กล่าวต่อผู้คนนับร้อยในวันนั้นว่า “บริจิตต์ คือของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ผม และถ้าไม่มีเธอก็คงไม่มีผมในวันนี้” (ฟังแล้วจิกหมอนกันเลยใช่ไหมล่ะ)
การเปิดเผยชีวิตรักของมาครง ส่งเสริมเขาไม่น้อย เพราะนอกจากจะได้คะแนนเสียงจากผู้ที่ต้องการเห็นฝรั่งเศสสงบสุขไปพร้อมกับโลกแล้ว มาครง เองได้คะแนนเสียงจากคนอายุ 60++ มากกว่า มารีน เลอเปน คู่แข่งจากพรรคขวาจัดหลายขุม
จนหลายคนบอกว่า เอ็มมานูเอล มาครง ชนะ เลอเปน ได้ด้วยความรัก เป็นความรักที่เขามีให้ต่อเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลกด้วยนโยบายที่ประนีประนอมกว่าของ เลอเปน ความรักที่มีต่อประเทศชาติเพราะรู้ดีว่าการนำพาประเทศแบบสุดโต่งนั้นไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นหากแต่ต้องให้คนทั้งชาติช่วย และ ท้ายที่สุดคือความรักที่เขามีต่อภรรยาด้วยการให้เกียรติและไม่อายที่จะปิดบังว่า มีวันนี้ได้เพราะมีภรรยาคอยหนุนหลัง เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้ แล้วรู้สึกว่า “ความรักชนะทุกสิ่งเลยทีเดียวค่ะ”