Facebook และบริษัทโซเชียลมีเดียรายอื่น ๆ กำลังพยายามต่อสู้และกำจัดข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนที่แพร่สะพัดอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 นี้ โดยประกาศใช้นโยบายต่อต้านเทคโนโลยี Deepfake ในขณะที่ Snapchat และ TikTok ต่างอ้าแขนรองรับ
แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียทั้งสองต่างเปิดกว้างและอ้าแขนรับการใช้งานเทคโนโลยี Deepfake หรือการสร้างวิดีโอบิดเบือนความจริงโดยใช้เทคโนโลยี AI ขณะที่นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีหวั่นว่าการสร้างภาพหรือวิดีโอจำลองอาจทำให้คนหมู่มากเชื่อว่ามันคือความจริง ด้าน มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook เคยบอกเอาไว้ว่า มันคือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ในขณะที่เขาปรากฏตัวต่อหน้ารัฐสภาเมื่อปีที่แล้ว
แต่แอปฯ เหล่านี้ยังใช้ฟิลเตอร์ตกแต่งวิดีโอที่หลากหลายเพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้งานถึง 203 ล้านบัญชี โดยเปิดกว้างต่อการใช้งานโดยเมื่อเป็นเจ้าของอุตสาหกรรม AI เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อใช้ในการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันในการสร้างฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Deepfake โดย Snapchat เป็นแอปพลิเคชันที่ชูจุดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรศัพท์ ซึ่งได้รับความนิยมมาจากฟิลเตอร์สลับหน้า โดยเปิดตัวมาตั้งแต่เมษายน 2016
TikTok ก็ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Deepfake โดยมีจุดเด่นเป็นการใช้กล้องโทรศัพท์สแกนใบหน้าในมุมต่าง ๆ จากนั้นจะเป็นการสร้างรูปแบบทดแทนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใส่ทดแทนใบหน้าของตน แต่อย่างไรก็ตามวิดีโอที่ได้จากแอปฯ จะปรากฏลายน้ำอยู่อย่างชัดเจนโดยคนทั่วไปสามารถรู้ได้ว่าวิดีโอชิ้นนั้น ๆ ถูกผลิตขึ้นมาจากแอปฯ และไม่ใช่เรื่องจริง ถึงอย่างนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า บริษัทแม่ผู้เป็นเจ้าของแอปฯ TikTok จะนำข้อมูลที่พวกเขาเรียบเรียงได้ทั้งหมดนี้ไปทำอะไรต่อได้บ้าง
ขณะที่ Facebook ตรวจสอบและกำจัดสื่อต่าง ๆ ที่ถูกดัดแปลงแก้ไขซึ่งอาจทำมาสู่ความเข้าใจผิดในหมู่คนส่วนใหญ่หรือส่งผลกระทบต่อบุคคลโดยมีนโยบายและเงื่อนไขการใช้งานที่คล้ายคลึงกับ Youtube ที่มีมาตรการแบนเนื้อหาบนแพล็ตฟอร์มที่บิดเบือนและดัดแปลงไปจนสู่การคุกคามบุคคล
ในส่วนของ Twitter ก็ได้ประกาศแผนการร่างนโยบายการใช้งานขึ้นใหม่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนโยบายนั้นอยู่ในขั้นตอนของการร่างอยู่ อีกทั้ง Pinterest แพล็ตฟอร์มที่เปิดพื้นที่ให้โพสต์ศิลปะหลากหลายรูปแบบ ก็ได้ประกาศจุดยืนต่อต้านเทคโนโลยี Deepfake อย่างเอาจริงเช่นกัน โดยไม่อนุญาตให้มีรูปแบบของเนื้อหาที่บิดเบือนความจริงและทำให้เข้าใจผิดปรากฏบนแพล็ตฟอร์ม และจำนำออกทันทีหากพบเห็น
ที่มา : Forbes