ทัศนคติแบบตัวจริงทั้งในและนอกสนามฟุตบอล

สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่ใกล้ที่หลายคนทำงานสัปดาห์นี้อีกสัปดาห์เดียวก็จะได้หยุดปีใหม่กันแล้ว ขณะที่อีกหลายคน ยังต้องทำงานกันต่อในวันจันทร์ที่ 30 ถึงจะได้หยุดอย่างจริงจัง แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนต่อให้ถึงปีใหม่ก็ยังต้องทำงานกันต่อไป ไปหยุดอีกทีก็หลังจากผ่านวันปีใหม่ไปแล้ว

อย่างผู้เขียนที่เคยทำงานหนังสือพิมพ์ จนมาทำรายการโทรทัศน์ มาอย่างยาวนาน วันหยุดปีใหม่ดูจะเป็นเรื่องไม่คุ้นเคยนัก ยิ่งในช่วงสิบปีหลังมานี้ได้เคาท์ดาวน์กันในสตูดิโอ ที่กำลังถ่ายรายการกันเลยทีเดียว ถามว่าหงุดหงุดน้อยใจไม่ได้หยุดปีใหม่เหมือนคนอื่นหรือไม่ คำตอบคือไม่เคยเลย และรู้สึกเคยชินเสียด้วยซ้ำ ปีนี้ที่คิดว่าจะได้หยุดวันปีใหม่เหมือนคนอื่น ก็กลับกลายเป็นว่ามีงานที่จะต้องทำในช่วงเวลาดังกล่าวแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน

พูดถึงการทำงานในวันหยุดแล้วก็ให้นึกถึงน้องสองคนที่ผู้เขียนเคยมีโอกาสร่วมงานด้วย และเคยทำให้พวกเขาต้องมาทำงานวันหยุด แต่ทั้งสองท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย เป็นน้องสองคนที่มีปูมหลังเป็นนักฟุตบอลระดับทีมชาติไทย ฝีเท้าดีชนิดที่เคยสังกัดอยู่กับสโมสรใหญ่ในไทยลีก ปัจจุบันทั้งคู่เป็นอดีตนักฟุตบอลที่มีความเชี่ยวชาญมากๆในฐานะ  Football Pundit (ผู้เชี่ยวชาญเกมฟุตบอล) ทั้งสองท่านคือ ซารีฟ สายนุ้ย และ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์

ซึ่งในช่วงเทศกาลส่งความสุขแบบนี้ ได้มีโอกาสพบกับน้องทั้งสองท่านก็ได้นั่งคุยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปตามประสา และมีบางช่วงบางตอนที่อยากเอามาถ่ายทอดผ่านในคอลัมน์นี้ เพราะคิดว่าทัศนคติของน้องทั้งสองคนน่าจะเป็นประโยชน์ ต่อคนรุ่นใหม่เป็นอย่างยิ่ง

แต่ก่อนที่จะเล่าให้ฟังว่าได้นั่งคุยอะไรกับน้องทั้งสองท่าน ในฐานะที่ทำรายการโทรทัศน์มากกว่าหนึ่งทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการข่าวและกีฬา และมีโอกาสได้ร่วมงานกับทีมงานต่างประเทศ ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสนั่งคุยกับ Production Director ของ Network กีฬาระดับ Global ซึ่งถามผู้เขียนด้วยความสงสัยว่า ทำไม รายการพรีวิวฟุตบอลไทยถึงไม่มีนักฟุตบอลอาชีพเลย กลับมีแต่นักพากย์

ซึ่งเพื่อนชาวต่างชาติที่อยู่ในวงการโทรทัศน์มานานกว่าคนเขียนอธิบายว่า ในทีวีต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น BBC Sports, SKY Sportsหรือ FOX Sports หากเป็นรายการเกี่ยวกับฟุตบอลแล้ว ตัวเลือกแรกๆที่จะเลือกคือ นักฟุตบอล หรือ ผู้จัดการทีม จากนั้นค่อยเป็นนักข่าว หรือคอลัมนิสต์ ที่มีผลงานในหนังสือพิมพ์ ส่วนผู้บรรยายนั้นจะมาเป็นอันดับสุดท้าย

จำได้ว่าตอนนั้นก็หาเหตุผลมาอธิบายให้เพื่อนชาวต่างชาติฟังไม่ได้เหมือนกัน และ สุดท้ายก็เลยได้มีโอกาสร่วมงานกับ ซารีฟ สายนุ้ย และ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ และทำให้ได้เห็นว่าคนที่มีประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลมาจริงๆ เขาจะมองเห็นว่าเกมในสนามนั้นเกิดจุดเปลี่ยนตรงไหน และ มีโอกาสที่จะแก้เกมกลับคืนมาหรือไม่ และด้วยประสบการณ์บวกกับข้อมูลและสถิติที่น่าสนใจ ทำให้ ทั้งซารีฟ และ ณัฐพร กลายเป็น Football Pundit ที่มีความน่าเชื่อถือได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ย้อนกลับมาที่การพูดคุยกับซารีฟ และ ณัฐพร ซึ่งมีโอกาสได้พบกับซารีฟ และ ภรรยาผู้น่ารักของเขาเป็นรายแรก  ซารีฟ บอกว่าทุกวันนี้แม้ว่าจะมีประสบการณ์ทำรายการมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงเตรียมตัวและทำการบ้านเหมือนทุกครั้ง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือเอาประสบการณ์ที่มีโอกาสทำงานในฐานะฝ่ายบริหารจัดการของสโมสรฟุตบอลเข้ามาช่วย และแน่นอน ซารีฟ ยังคงเป็นซารีฟ คนเดิม มีความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างเต็มที่ ในทุกงานที่ลงมือทำเขาบอกว่า “โอกาสสำคัญมากครับพี่ และเราต้องรักษามันไว้ด้วยการตั้งใจทำงาน”

ส่วนณัฐพร นั้นเพิ่งได้เจอกันเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว แน่นอนว่ามากันเป็นแพคคู่ กับภรรยาคนเก่ง  ณัฐพร ก็เช่นเดียวกับซารีฟ มีความตั้งใจในการทำงานอย่างไรเมื่อสามปีก่อน ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น เขาพูดถึงการทำงานในฐานะ Football Pundit เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “เหมือนได้อ่านหนังสือนะพี่ คือด้วยความที่เราเป็นนักฟุตบอล แล้วก็ได้มีโอกาสทำงานในฐานะนักวิเคราะห์เกม ทำให้ได้ดูเกมฟุตบอลต่างประเทศทุกสัปดาห์ แล้วมันเหมือนเป็นการต่อภาพจากที่เราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ให้มากขึ้นไปอีกยิ่งปัจจุบันมาทำหน้าที่โค้ชทีมเยาวชนก็ย่ิงทำให้มองเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ”

เห็นความตั้งใจในการทำงานของ ซารีฟ และ ณัฐพร ก็มีความสุขแทนแฟนบอลที่คอยติดตามผลงานของทั้งสองท่านนะคะ เพราะเชื่อมั่นกันได้ว่าไม่ได้มีแค่สถิติ หรือ ข้อมูลมาเล่าอย่างเดียวหากแต่ยังมีประสบการณ์จากที่เคยลงสนามจริงสอดแทรกเข้ามาในทุกการวิเคราะห์ของทั้งสองท่าน เป็นทัศนคติ ทำงานเพื่องาน ที่ออกดอกออกผลได้อย่างดียิ่ง

ในวันที่คนทำงานยุคใหม่ ให้ความสำคัญกับสิ่งเร้ารอบตัว มากกว่างานที่อยู่ตรงหน้า ฝันถึงสิ่งที่พวกเขาไม่เคยลงมือทำ วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้จริง หรือ เคยมีประสบการณ์มาก่อน ลองหันกลับมาดูการทำงานของรุ่นพี่อย่าง ซารีฟ และ ณัฐพร กันดูค่ะ ทั้งสองคนมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ชนิดเกินร้อยและพิสูจน์ให้เห็นในวันนี้ว่าพวกเขาเป็นตัวจริง ทั้งในสนามฟุตบอล และ วงการโทรทัศน์ เช่นนี้แล้วคงต้องหันกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันหน่อยไหมว่า “พวกคุณละเคยเป็นตัวจริงในสนามไหนบ้างหรือยัง”

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ