ดิสนีย์กับการตีตลาดเอเชีย ที่แพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อาจมีหนาว!

ชิพกับเดลมีสองพี่น้องขายของในคลอง เพลงฮิตหลอนหูทั่วบ้านทั่วเมืองซึ่งมาจากการ์ตูนดิสนีย์มิกกี้เม้าส์ที่ทำออกมาให้เห็นถึงบรรยากาศความน่ารักในเมืองไทยว่าเป็นอย่างไร แต่นอกจากชิพกับเดลแล้วก็ยังมีการ์ตูนอีกเรื่องนั่นคือ Amphibia ที่มีตัวละครหลักเป็นเด็กเชื้อสายไทย-อเมริกันนั่นก็คือ แอน บุญช่วย นั่นเอง

โดยในเรื่อง Amphibia นั้นเป็นเรื่องราวของเด็กที่หลุดไปอีกโลกหนึ่งโดยโลกนั้นเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำ และแอนบุญช่วยก็ต้องใช้ความเป็นไทยในการเอาชีวิตรอด หรือทำอาหารไทย รวมถึงมีการสวัสดีเป็นภาษาไทยให้เราได้เห็นอีกด้วย

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมช่วงนี้ดิสนีย์ตีตลาดเมืองไทยถี่จัง

อย่างแรกเลยเราจะเห็นแล้วเราดิสนีย์เปิดตัวแพลตฟอร์มของตัวเองอย่าง Disney Plus ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดูหนังคล้าย ๆ กับ Netflix ที่โด่งดังมากในบ้านเรา ราคารายเดือนถูกกว่าครึ่ง แถมหนังที่มีในค่ายดิสนีย์นั้นง่าย ๆ เลยก็หนังจำพวก Marvel แทบทั้งหมด ราคาเพียง 150 บาทต่อเดือนดูหนังของทางค่ายนี้คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม แต่ทำไมต้องประเทศไทยหละ อาจเป็นเพราะยอดการใช้อินเตอร์เน็ตประเทศไทยติดอันดับโลกเลยก็ว่าได้ แถมเฉลี่ยการใช้อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันก็ร่วม ๆ 9 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ดิสนีย์จะเริ่มตีตลาดเอเชีย

ดิสนีย์ในช่วงนี้ก็ถือได้ว่าขาดทุนอยู่ ถ้าถามว่าทำไมถึงขาดทุน รายได้ก็ได้มาเยอะ นั่นมันก็ใช่แต่เรื่องนี้ก็มีข่าวลือปล่อยออกมาอยู่บ่อย ๆ รายรับเยอะก็จริงแต่รายจ่ายก็เยอะพอกัน ยิ่งสร้างรายได้มากเท่าไหร่ รายจ่ายก็มากขึ้นตาม ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของเขาก็คือ การสรรหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ไม่เคยเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้มาก่อน ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่แปลกถ้าหากดิสนีย์ทำอะไรออกมาเกี่ยวกับวัฒนธรรมในเอเชียมากขึ้น เพราะเขาเพียงต้องการตีตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่นั่นเอง

และถ้าหากดิสนีย์ทำสำเร็จ สามารถกำเนิดแอปพลิเคชั่นและใช้งานได้ทั่วโลกเมื่อไร แอปพลิเคชั่นอื่น ๆ อาจจะมีขนลุกขนพองกันบ้าง เพราะสื่อในเครือของดิสนีย์ครอบคลุมทั่วไปหมด ไม่ว่าจะภาพยนตร์ดัง ๆ อย่าง Disney , Marvel , Pixar , Star Wars หรือจะ National Geographic ไหนจะซีรีส์ที่เยอะจนนับไม่ถ้วน และถ้ามีเรื่องที่เป็น Original ของแอปพลิเคชั่นอีก น่าจะเป็นสงครามแพลตฟอร์มใหม่ที่สนุกมากเลยทีเดียว ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราก็จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วยเพราะแต่ละแอปฯ จะต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก

ซึ่งแอปพลิเคชั่นดิสนีย์จะเริ่มเปิดให้บริการปลายปีนี้ ส่วนเอเชียรวมถึงไทยอาจจะต้องรอกันปีหน้า ตอนนั้นแหละสนุกแน่ ๆ