กฎหมาย “ห้ามตีก้นเด็ก” มีจริง ใช้จริง!


กฎหมาย “ห้ามตีก้นเด็ก” มีจริง ใช้จริง!

สมัยเด็กๆ เวลาที่เราทำผิด บางครั้งก็มักจะถูกคุณพ่อ คุณแม่ หรือคุณครู ทำโทษด้วยการ “ตีก้น” ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อทำผิดก็ต้องมี “บทลงโทษ”

แต่บางครั้งการลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ มีให้เห็นกันบ่อยๆ ยิ่งสมัยนี้ เทคโนโลยีทำให้โลกแคบลงกว่าแต่ก่อน ยิ่งทำให้เห็นภาพ “ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นจากการลงโทษเด็กได้ง่ายขึ้น ทั้งผ่านคลิปวิดีโอ หรือการไลฟ์สดผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ

และในโลกใบนี้ ยังมีหลายประเทศที่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการลงโทษเด็กๆ ด้วยวิธีการนี้ ถึงขั้นมีกฎหมาย “ห้ามลงโทษเด็ก ด้วยการตีก้น” ออกมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ล่าสุด ฝรั่งเศส เป็นประเทศลำดับที่ 52 ในโลก ที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าว หลังผ่านความเห็นชอบร่างกฎหมายมาตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ปีที่แล้ว แม้ว่าจะค้านกับผลสำรวจความเห็นที่ระบุว่า ผู้ใหญ่ในฝรั่งเศสมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายห้ามตีก้นเด็ก

ขณะที่ผู้ใหญ่มากถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ยังคงใช้วิธี “การตีก้น”ในการลงโทษลูกหลานตัวเอง ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสเรียกกันว่า “la fesse” (ลา เฟสเซ่)

ทั้งนี้ ผลการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าเด็กที่โดนตีก้นลงโทษบ่อยๆ นอกจากจะแสดงอาการต่อต้านพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูบาอาจารย์แล้ว เด็กเหล่านั้นยังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต รวมถึงมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมตามมาด้วย

ทุกวันนี้ หลายประเทศในยุโรปต่างบังคับใช้กฎหมาย “ห้ามตีก้นเด็ก” กันแล้ว โดยสวีเดนถือเป็นชาติแรกในโลกที่บังคับใช้กฎหมายนี้ ตั้งแต่เมื่อปี 1979 หรือเมื่อเกือบ 38 ปีที่แล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับผลสำรวจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่พบว่า สวีเดนติดอันดับต้นๆ ประเทศที่ประชากรมีความสุขมากที่สุดในโลก

แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ผ่านกฎหมายนี้ ทั้งอังกฤษ, อิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก เช่นเดียวกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ยังอนุญาตให้ผู้ใหญ่ลงโทษเด็กด้วยวิธีการนี้ได้

ขณะที่พระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก เคยตรัสไว้เมื่อปีก่อนว่า ทรงเห็นด้วยกับการลงโทษเด็กด้วยการตีก้น ตราบใดที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ไม่ได้กระทำการใดๆ ให้เด็กต้องรู้สึกขายหน้าต่อผู้อื่น แต่นั่นก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบตามมา

ส่วนตัวแล้ว มองว่าหากพูดหรือสั่งสอนกันได้ด้วยเหตุผล ก็ควรเลือกใช้วิธีการพูดคุยอย่างเข้าใจก่อนเป็นลำดับแรก ดีกว่าใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา จนทำให้เกิดความร้าวฉานในครอบครัว