Pet Sematary – สุสานเฮี้ยน และความเขลาของมนุษย์

น่าประหลาดใจที่ 2-3 ปีให้หลังมีผู้กำกับและผู้ผลิตสื่อบันเทิงในอเมริกาหยิบผลงานของ สตีเฟน คิง นักเขียนนิยายระดับขึ้นหิ้งออกมานำเสนอผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีทั้งเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่น It ได้คำชมระดับกลางๆ อย่าง Gerald’s Game และแป้กทั้ง The Dark Tower, 1922 ก่อนมาถึงเรื่องล่าสุด Pet Sematary ที่เสียงแตกก้ำกึ่งมีทั้งชอบและไม่ชอบปะปนกัน

หนังว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีคุณพ่อเป็นนายแพทย์ฝีมือดี ซึ่งรู้สึกโศกเศร้าอย่างหนักกับการสูญเสียลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจากอุบัติเหตุไม่คาดคิดหลังย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในย่านชนบท ทว่าแทนที่จะปล่อยให้ชีวิตลูกสาวเป็นไปตามกฏแห่งกรรม จากไปโดยธรรมชาติ กลับขุดศพลูกขึ้นมาแล้วอุ้มไปฝังบนสุสานสัตว์เลี้ยงของชาวอินเดียนแดงเก่า ซึ่งมีพลังงานบางอย่างแฝงอยู่

ก่อนหน้านี้ คุณพ่อนายแพทย์ เคยได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านให้นำแมวที่ตายไปฝังบนพื้นที่แห่งนี้ แล้วปรากฏว่าแมวตัวนั้นกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิต แม้นิสัยจะดุร้ายกว่าเดิม คุณพ่อจึงเอาศพลูกสาวที่ตายแล้วไปฝังบ้าง และแน่นอนว่ามันก็นำมาสู่เรื่องราวสุดสยองเมื่อลูกสาวที่น่ารักคนนั้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็จริง แต่กลับไม่ใช่ธิดาผู้น่ารักของบ้านคนเดิมอีกต่อไป และทำเอาทุกคนในบ้านคิดว่า “รู้งี้ปล่อยให้ตายไปซะยังดีกว่า”

Pet Sematary ไม่ใช่หนังใหม่เสียทีเดียว เพราะมันเคยถูกหยิบมาทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี 1989 และมีภาคต่อตามมา แต่ก็ไม่ใช่หนังที่ประสบความสำเร็จมากนัก ก่อนที่ ผกก.คู่หู เควิน โคลช กับ เดนนิส วิดมายเออร์ จะเอา “สุสานสัตว์เลี้ยง” กลับมาปัดฝุ่นทำใหม่อีกรอบหลังได้รับอนุญาตจากเจ้าของนิยายอย่าง สตีเฟน คิง เรียบร้อย

ผู้เขียนนั้นไม่เคยดู Pet Sematary เวอร์ชั่นต้นฉบับ อยู่ๆ ก็ข้ามมาดูเวอร์ชั่นใหม่เลย แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเรื่องความเปลี่ยนแปลงคือโปรดักชั่นที่ดูทันสมัยขึ้น Set Up สุสานที่ดูน่าสะพรึงกลัว เอฟเฟกต์ที่สมจริงยิ่งกว่า เพราะของเก่าที่เคยทำไว้ดูจะเป็นหนังเกรดบีเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะน้องแมวสุดเฮี้ยน ที่ดูจบแล้วกลับมานั่งกลัวแมวของตัวเองที่บ้าน (ฮา)

“สุสานสัตว์เลี้ยง” เวอร์ชั่นนี้ถือว่าทำได้น่าพอใจ ดูเข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นจนจบ เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยอ่านตัวนิยายต้นฉบับหรือหนังเวอร์ชั่นเดิมน่าจะดูได้สนุกไม่ยาก แต่สำหรับผู้เขียนกลับรู้สึกว่าหนังมันเชยอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะการกระทำของคนเป็นพ่อที่อยู่ๆก็หาวิธีโกงความตายให้ลูก ทั้งๆที่รู้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไร โอเคว่าคนที่อยู่ในภาวะเศร้าโศกและรักลูกปานดวงใจนั้นย่อมทำทุกอย่างเพื่อพาคนที่รักกลับมาสู่อ้อมอก แต่ก็ยากจะยอมรับได้อยู่ดี ขณะเดียวกันก็ดูจะบอกว่าต่อให้หน้าที่ของหมอจะต้องเชื่อมั่นในหลักวิทยาศาสตร์อย่างไร พอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่ไสยศาสตร์ซะงั้น

และเมื่อผู้เป็นพ่อตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว นั่นจึงทำให้ช่วงครึ่งหลังไปจนถึงบทส่งท้ายเต็มไปด้วยความเฮี้ยนแบบซ่องแตก ซึ่งต้องชมเจ้าหนู เจท ลอว์เรนซ์ ผู้รับบทลูกสาวประจำบ้านที่เล่นได้เฮี้ยนถึงใจทั้งสีหน้า ท่าทาง สลัดภาพหนูน้อยผู้น่ารักช่วงครึ่งแรกไปได้หมดจด แต่การ Turn ตัวละครครึ่งหลังของน้องที่กลายเป็นฆาตกรไล่เชือดมนุษย์ มันทำให้นึกถึงการ “ทำซ้ำ” ของตัวละครนังเด็กนรกจากเรื่อง Orphan ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

การกลับมาของ Pet Sematary เวอร์ชั่นนี้ถือว่าไม่เลวร้ายอะไร เป็นหนังสยองขวัญที่ทำได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการไร้ความสามารถของคนเป็นพ่อ เป็นตัวอย่างให้เหล่าหัวหน้าครอบครัวทั้งหลายจงคิดไต่ตรองให้ดียามตัดสินใจแต่ละอย่าง และยังสอนให้รู้ว่า “มนุษย์คือสัตว์ที่โง่เขลา และไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ในอดีตเลย”