รู้จักเทคโนโลยี Blockchain กับการประยุกต์ใช้ในการเลือกตั้ง

ด้วยกระแสการเลือกตั้งของไทยครั้งล่าสุด ที่ออกมาไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่งภาพรวมในเรื่องต่าง ๆ ทางเทคนิคถูกสังคมประเมินไปในทิศทางที่แย่และแทบไม่มีคำชื่นชมสักแอะ ไม่ว่าจะเรื่องภาคสนาม เรื่องการให้ข้อมูล สุดถึงช่วงนับคะแนน

จนกระทั่งมีผู้คนในโลกออนไลน์ไม่มากไม่น้อย กล่าวแนะนำการใช้ Blockchain มาใช้ในการเลือกตั้ง เพราะยุคสมัยใหม่ได้ทำให้เทรนด์เทคโนโลยีมาแรงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เราจึงสงสัยว่า แล้ว Blockchain มันคืออะไร ทำไมเราไม่รู้จัก แล้วจะนำมาใช้กับการเลือกตั้งยังไง คิดเฉย ๆ ก็คงงงและไม่มีคำตอบ ถ้างั้นเราไปรู้จักเทคโนโลยีตัวนี้รวมถึงการประยุกต์ใช้ในการเลือกตั้ง พร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

Blockchain คืออะไร

คือระบบเก็บข้อมูล โดยที่ไม่ต้องมีศูนย์กลาง และผู้ใช้ทุกคนสามารเข้าถึงข้อมูลนั้น ๆ ได้ โดยเทคโนโลยีนี้จะมีการสำรองข้อมูลแบบกระจาย ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ยาก พูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือนให้ทุกคนในเครือข่ายถือเอกสารชุดเดียวกัน อัพเดทเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันตลอด

ผลที่เห็นชัดคือหากมีข้อมูลใดเปลี่ยนแปลงก็จะสามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อมูลที่ผิดปกติ เพราะไม่ตรงตามข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ การหาตัวการบิดเบือนข้อมูลก็จะแคบลงมาก

ต่างจากการครอบครองข้อมูลไว้เพียงที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งหากข้อมูลถูกเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นอันจบเห่ ซึ่งอาจนำไปถึงการตรวจสอบที่ยุ่งยากกว่า

ในปัจจุบันเทคโนโลยี Blockchain นี้ถูกนำไปใช้ในระบบต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบธุรกรรมการเงิน, ระบบเก็บข้อมูลแบบ Cloud รวมไปถึงแนวคิดในการนำมาใช้สำหรับการเลือกตั้ง เนื่องจากเล็งเห็นถึงประสิทธิภาพในการตรวจสอบ และสามารถยกระดับการลงคะแนนที่โปร่งใสกว่าเดิม

Blockchain กับการเลือกตั้ง

หากเรานำเทคโนโลยีข้างต้นนี้ มาประยุกต์ใช้กับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง องค์ประกอบต่าง ๆ จะมีดังนี้

  • ผู้คุมการเลือกตั้ง หรือ กรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้ระบุและกำหนดสิทธิ์ของผู้ลงคะแนน ซึ่งใช้คุณสมบัติตามกฎเป็นตัวกำหนด
  • ผู้ลงสมัครเลือกตั้ง
  • ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เป็นกลุ่มที่ต้องลงคะแนนให้กับผู้สมัคร

เมื่อถึงช่วงเวลาเลือกตั้ง ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพียงยืนยันตัวตนผ่านเครือข่าย และทำการลงคะแนน เป็นอันเสร็จสิ้น โดยเมื่อสิ้นสุดการลงคะแนนระบบจะตัดสิทธิ์ไม่ให้มีผู้ลงคะแนนเกินเวลา และคะแนนทั้งหมดจะรวมสุทธิให้เห็นอย่างทั่วถึงกับผู้ใช้ทุกคน ทั้งผู้ใช้สิทธิ์ ผู้สมัคร และผู้คุมการเลือกตั้ง ง่าย ๆ

ซึ่งมีประเทศที่นำเทคโนโลยีมาใช้บ้างแล้ว คือ

  • ประเทศสิงคโปร์ นำ Blockchain มาใช้ในระบบราชการ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง และการกำหนดราคากลาง เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ
  • ประเทศญี่ปุ่น มีการใช้ Blockchain ให้ประชาชนลงคะแนนเสียงผ่านการยืนยันตัวตนด้วยเลขบัตรประชาชน
  • ประเทศเอสโตเนีย นำมาใช้ในการจัดการข้อมูลบัตรประชาชน และการเข้าถึงสิทธิพลเมือง
  • และประเทศกำหลีใต้ กำลังลงทุนในการนำ Blockchain มาใช้ในการเลือกตั้ง

ประโยชน์เบื้องต้นที่มองเห็น

ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเป็นไปได้เพียงแค่ลงทุนกับมันและหยิบมาใช้ เราสามารถเห็นประโยชน์ของมันได้ เช่น

  • ตัดระบบตัวกลางในการนับคะแนนเพื่อตัดปัญหาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลคะแนน
  • เพิ่มความสะดวกในการลงคะแนนแก่ผู้ใช้สิทธิ์ ทั้งในเรื่องของการเดินทาง ระบบจัดการต่าง ๆ ที่ยุ่งยาก ทำให้สามารถประหยัดงบ ลดการใช้กระดาษได้อีกด้วย
  • ให้ผลที่ชัดเจนและแม่นยำ หากกำหนดคุณสมบัติในการลงคะแนนได้ชัดเจนพอจากฐานข้อมูล หมดปัญหาคะแนนผี

แต่ถึงอย่างไร ผลเสียของเทคโนโลยีรูปแบบนี้ก็มีอยู่เช่นกัน ตามที่พอจะนึกออกคือ
1. การเข้าถึงของผู้ขาดโอกาส เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ อาจส่งผลให้เสียสิทธิ์ไปฟรี ๆ
2. การยืนยันตัวตนเพื่อลงคะแนนยังมีช่องโหว่อยู่ ต้องใช้ความซับซ้อนมากกว่านี้เพื่อความแม่นยำ
3. ระบบแบบไทย ๆ จากที่เราเคยผ่านการใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ของทางราชการ จะเห็นได้ว่าระบบล่มหรือใช้ไม่ได้บ่อยมาก โดยเฉพาะหากมีการเข้าใช้มากถึงระดับสิบล้านคน ต้องมีการพัฒนาระบบที่จริงจังมากกว่านี้