2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว – ระหว่างทางของคนบ้าที่ชื่อ “ตูน บอดี้สแลม”

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงของวงร็อค บอดี้สแลม (Bodyslam) หรือไม่ แต่เชื่อว่า 2 ปีมานี้คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักชายที่ชื่อ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “พี่ตูน” นักร้องนำของวงนี้แน่ ๆ จากอีเว้นท์ระดับชาติที่สร้างกระแสชื่นชมและเสียงวิจารณ์อย่าง “ก้าว คนละก้าว” โครงการวิ่งจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ ระดมทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ซึ่งก็จบลงอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ คือ การวิ่งครั้งนี้ถูกบันทึกเป็นภาพยนตร์สารคดีเอาไว้ด้วย

“2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” คือ ภาพยนตร์สารคดีจากโครงการ “ก้าว คนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั้งประเทศ” บันทึกเรื่องราวตลอด 55 วัน ที่ “พี่ตูน” และเพื่อน ๆ ออกวิ่ง เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน ก่อนสิ้นสุด วันที่ 25 ธันวาคม ปีที่แล้ว จาก อ.เบตง จ.ยะลา ถึง อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร ซึ่งนอกจากแฟน ๆ ที่มารอเชียร์ร็อคเกอร์หนุ่มเต็มสองข้างทาง ยังมี ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับรุ่นใหม่ แบกกล้อง บันทึกภาพ ก่อนนำฟุตเทจมาร้อยเรียงเป็นสารคดีความยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง

ความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่พี่ตูนออกวิ่ง ทีมงานก้าวฯ ก็ทำการถ่ายทอดสดการวิ่งของร็อคเกอร์ชื่อดังผ่านเฟซบุ๊กให้ชมกันทุกวัน มีสำนักข่าวตามไปเกาะติดแบบใกล้ชิด แถมเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าตอนจบเป็นอย่างไร แต่สารคดีตัวนี้ มีความต่างตรงที่มันพาคนดูไปคลุกวงใน สัมผัสเรื่องราวเบื้องหลัง ที่มาที่ไป รวมถึงสำรวจจิตใจพระเอกของเรื่องนี้ แบบที่คนที่ดูผ่านไลฟ์สดไม่มีทางได้เห็น กว่าจะมาถึงเส้นชัยต้องผ่านอะไรมาบ้าง ดังคำพูดคลาสสิก “จุดหมาย ไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง”

ก่อนดูขอสารภาพก่อนว่า รู้สึกกังวลในใจ เพราะกลัวมันจะออกมาเป็นแนวเชิดชูนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ยกย่องสดุดี ตูน บอดี้สแลม ดั่งเทวดาผู้มาโปรด แต่ปรากฏว่า คนละเรื่องเลย เพราะหนังนำเสนอพี่ตูนในทุกจังหวะอารมณ์ มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เล่นมุกตลกฝืด เครียด เกรี้ยวกราด และเจ็บปวดเหมือนมนุษย์ทั่วไป โดยเฉพาะซีนระเบิดอารมณ์โกรธของพี่เขา แม้ซีนพวกนี้จะมีไม่มากแต่มันก็ช่วยเบรกภาพ “ฮีโร่ของชาติ” แบบที่ชาวบ้านเทิดทูนได้เป็นอย่างดี ถ่ายทอดความดีออกมาได้ไม่เลี่ยนดี (ฮา)

ขณะที่ส่วนของการถ่ายทอดสารออกมาเป็นภาพและเสียง แม้จะปะหัวว่า เป็นหนังสารคดี แต่มันก็ถูกนำเสนอออกมาในเชิง Cinematic เหมือนหนังทั่วไปมาก ๆ คนที่ไม่ถูกโรคกับหนังสารคดี ดูแล้วง่วงบ่อย ๆ น่าจะดูเรื่องนี้ได้เพลิดเพลินไปจนจบ ต้องปรบมือให้กับ ผกก.ณฐพล กับทีมงานที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว มีหลายซีนที่ถ่ายภาพ แตกช็อตสวย ๆ ออกมาให้ดูกันเต็มอิ่ม เช่นบรรยากาศรอบตัวคนวิ่ง สถานที่ต่าง ๆ และภาพรวมของมันก็ไม่ได้ดูแล้วเครียด มีมุกตลกสอดใส่มาแบบพอดี ไม่ล้นแบบหนังไทยอื่น

กระนั้นเอง ด้วยความที่สารคดีมันมี “โจทย์บางอย่าง” อยู่ในใจอยู่แล้ว (ซึ่งอาจมาจาก ผกก. หรือเหล่าสปอนเซอร์ที่แวะมาทักทายคนดูเป็นระยะ) ว่า ต้องนำเสนอแง่มุมที่ดีไว้ก่อน (ดีเสียจนไม่กล่าวโทษใคร ๆ เลยที่ทำให้พี่ตูนต้องออกมาวิ่ง แม้แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการแพทย์โดยตรง) ทำให้ตัวสารคดีขาดปัจจัยบางอย่างที่มาเติมเต็มให้สมบูรณ์ นั่นคือ เสียงและความคิดเห็นจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมการวิ่งครั้งนี้ หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงเริ่มโครงการจะเห็นได้ว่า มีนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมต่าง ๆ รุมสับกิจกรรมนี้กันเยอะ แต่ตัว ผกก. ก็มองข้ามจุดนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันจึงเป็นสารคดีที่ “ดี” ตามโจทย์ แต่ไม่รอบด้าน

อีกเรื่องที่ผู้เขียนอยากเห็นมาก ๆ คือ บทบาทของเหล่าทีมงานที่อยู่รอบกายพี่ตูน นอกเหนือจากคุณพ่อ-คุณแม่ของพี่ตูน และเหล่าคนดังที่แวะเวียนมาให้กำลังใจอยู่เรื่อย ๆ อธิบายเพิ่มเติม คือ ผู้เขียนรับรู้มาบ้างว่า การวิ่งแต่ละวันต้องมีการประสานงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ มากมาย ทั้งตำรวจจราจร, ทหาร, แพทย์, คนขับรถ, ตากล้องไลฟ์สด ฯลฯ ต้องเคลียร์เรื่องวุ่นวายให้เสร็จจนกว่าจะออกสตาร์ท ซึ่งก็น่าเสียดายที่เราไม่เห็นภาพเคลื่อนไหวการทำงานของคนเหล่านี้มาก

แม้ในแง่หนังสารคดี “เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” อาจไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรเป็น แต่มันก็เป็นหนังที่ควรค่าแก่การแต่งตัวออกจากบ้านมาดูที่โรง ขณะที่กลุ่มคนซึ่งไม่เห็นด้วยกับการวิ่งของพี่ตูนหนนี้ (ผู้เขียนเองก็คนหนึ่ง) ดูแล้วอาจเข้าใจในสิ่งที่เขาทำได้บ้าง – มีช็อตหนึ่งที่พี่ตูนเองยอมรับว่า การวิ่งของเขามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เขาก็เลือกที่จะลงมือทำ มากกว่าเถียงว่ามันควรเป็นหน้าที่ใคร และความสำเร็จของกิจกรรมนี้ ก็ถูกส่งต่อให้ผู้ป่วยที่รอความช่วยเหลืออย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเด็กสาวนักวิ่งคนหนึ่งในเรื่อง ที่ได้รับการต่อชีวิตจากการวิ่งระดมทุนรอบนี้ และหนังก็ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลังจนผู้เขียนน้ำตาคลอเล็ก ๆ

“ในขณะที่เราถกเถียงกัน ก็มีผู้ป่วยหลายคนรอความช่วยเหลืออยู่ ผมคิดว่าถ้าเราออกมาทำอะไรสักอย่าง น่าจะดีกว่ามานั่งถกเถียงกันแบบนี้”

อาทิวราห์ คงมาลัย กล่าว