สื่อไทยยุค 4.0 ในมุมมองของ “เก๋-กมลพร วรกุล”

หลังจากสื่อออนไลน์อย่างสื่อโซเชียลมีเดีย เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้สื่อในยุค 4.0 ต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ให้ทัน โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อทีวี เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ชมทีวีปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับจำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากผลกระทบที่เกิดจากการครอบงำของสื่อโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ทางเดียวที่จะทำให้สื่อทีวีอยู่รอดคือ จะทำอย่างไรให้ผู้ชมรู้สึกว่าดูข่าวนี้แล้วมีคุณค่า นอกจากนี้ยังต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความกระจ่าง ด้วยการแยกแยะข้อเท็จจริงของข้อมูลที่นำเสนอ เพื่อให้ผู้ชมเกิดความรู้ความเข้าใจในข้อมูลที่ได้มีการนำเสนอไป

วันนี้ Tonkit360 จึงจะพาทุกคนไปฟังความคิดเห็นจาก “เก๋ กมลพร วรกุล” นักข่าว-ผู้ประกาศข่าว ที่มีประสบการณ์ในวงการสื่อมามากถึง 15 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าส่วนตัวแล้วสื่อไทยยุค 4.0 ในมุมมองของสื่อด้วยกันเองเป็นอย่างไรบ้าง เราไปฟังคำตอบจากเธอกันเลย

จุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักข่าวและผู้ประกาศ

เก๋ : เริ่มต้นคือจบปริญญาตรีเอกประชาสัมพันธ์ค่ะ ก็เลยลองมาทำงานด้านนี้ดูก่อนอยู่ประมาณ 11 เดือน แต่ในช่วงที่ทำงานประชาสัมพันธ์ก็พบว่าตัวเองต้องง้อนักข่าวเยอะมาก แอบคิดเหมือนกันว่ามันต้องขนาดนั้นเลยหรอ พอดีกับเป็นปีแรกที่เรียนจบมาใหม่ด้วย และคิดว่าประชาสัมพันธ์มันไม่ใช่ทางของเราแล้ว ก็เลยได้มีโอกาสไปเรียน take course ที่สถาบัน Gen X ซึ่งเขาจะมีสอนตั้งแต่ นักพากย์ ดีเจ นักแสดง ผู้ประกาศ นักข่าว และเราก็เรียนทั้งหมดเลย พอเรียนจบคอร์สก็มีพี่ที่เรียนด้วยกัน เขาชวนไปสมัครเป็นนักข่าวที่ช่อง 11News1 เราก็เลยคิดว่าในเมื่อเป็นประชาสัมพันธ์มันไม่ใช่ทาง ก็ขอเป็นนักข่าวเองล่ะกันจะได้ไม่ต้องง้อใคร (ขำ) จึงตัดสินใจไปสมัคร และวันนั้นเราก็บังเอิญเจอกับผู้อำนวยการช่อง เขาบอกว่านักข่าวที่นี่จะต้องเปิดหน้าได้ด้วยนะ เลยลองให้เราไปทดสอบหน้ากล้อง ปรากฏว่าหลังจากนั้น 1 วัน ทางช่องก็โทรมาเรียกให้เราไปทำงาน เลยลาออกจากการเป็นประชาสัมพันธ์ และเราก็พบว่าการเป็นนักข่าวควบคู่ผู้ประกาศคืองานที่เรารัก เพราะตอนนี้ก็ผ่านมา 15 ปีแล้วค่ะ (ยิ้ม)

การเป็นสื่อที่ดีจะต้องมีจรรยาบรรณในเรื่องอะไรบ้าง

เก๋ : ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว ผู้ประกาศ หรือสื่อมวลชน จรรยาบรรณอย่างแรกที่ต้องมีเลยก็คือ ซื่อสัตย์กับตัวเองก่อน เช่น คุณเป็นผู้ประกาศแล้วคุณรู้ข่าวนั้นจริงไหม หรือคุณอ่านสคริปต์ทั้งหมดจบรึยัง ข่าวเหล่านั้นที่คุณกำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมผู้ฟัง คุณรู้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ก็เหมือนกับที่เราเรียนในหลักวิชานิเทศศาสตร์มา คือการจะมาเป็นสื่อ ต้องรู้ก่อนว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ และทำไม คือดวงตามันจะบ่งบอกได้เลยว่าคุณรู้จริงหรือไม่รู้

คิดอย่างไรกับสื่อไทยในทุกวันนี้

เก๋ : คำว่าสื่อมันกว้างมาก ๆ เพราะเดี๋ยวนี้สื่อเข้าถึงง่ายและรวดเร็ว ยิ่งในยุค 4G แบบนี้ รวมถึงสื่อก็ยังไม่ได้บ่งบอกถึงตัวมันเองด้วยว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด น่าเชื่อถือรึเปล่า แถมสื่อยังเป็นอาวุธก็ได้ เลยรู้สึกว่าทุกวันนี้การเข้าถึงอะไรที่มันง่ายจนเกินไป แล้วไม่มีการทดเอาไว้ในใจว่าผลที่มันออกมาจะเป็นอย่างไร เช่น ก่อนที่เราจะส่งคลิป เราก็จะคิดแล้วว่าคลิปที่เราส่งไป ผลที่ออกมาจะเป็นในแง่ดีหรือลบต่อตัวเราเอง คนที่ได้รับคลิปจากเราเขาได้อะไร ส่วนตัวก็เลยคิดว่า การจะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอะไรออกไปก็แล้วแต่ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน และคำนึงถึงผลลัพธ์ ประโยชน์ที่ผู้ชมผู้ฟังจะได้รับ ตรงนี้มันก็จะทำให้ข่าวมีเสน่ห์และคุณค่ามากขึ้นด้วยค่ะ

สื่อไทยยุค 4.0 ในมุมมองของ “กมลพร วรกุล” เป็นอย่างไร

เก๋ : มุมมองส่วนตัวคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราควรจะช่วยกัน ในการทำสื่อให้เป็นสื่อที่ยกระดับสังคมได้ ก็คือ ช่วยเลิกมองแหล่งข่าวเป็นสินค้าเพื่อยกระดับเรตติ้ง ซึ่งการยกระดับเรตติ้งก็คือการได้โฆษณามาเยอะ ๆ แต่ขาดการคำนึงว่า หนึ่งจรรยาบรรณวิชาชีพของเราคืออะไร มารยาทในการทำงานร่วมกันในสังคมของนักข่าวหรือว่าสื่อมวลชนคืออะไร และช่วยคำนึงถึงแหล่งข่าวด้วยว่า เขาก็เป็นคนไม่ใช่สินค้า มันเลยกลายเป็นสงครามแย่งชิงเรตติ้ง ทำให้มีช่องโหว่ของโซเชียลมีเดีย นักข่าวพลเมือง เข้ามาแย่งพื้นที่ของสื่อที่เป็นนักข่าวโดยวิชาชีพ แล้วเราค่อยมาได้คิดว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงหันไปสนใจโซเชียลมีเดียมากกว่า ก็เพราะว่าคนเหล่านั้นเขาขาดความเชื่อถือในสื่อมวลชนไปแล้ว ฉะนั้นสื่อไทยในยุค 4.0 ก็ต้องช่วยกันแก้ไขปรับปรุง ไม่ใช่คัดลอกข่าวจากโซเชียลมีเดียมาอ่านแล้วจบ เราคิดว่ามันง่ายเกินไปถ้าจะมาเป็นสื่อแบบนั้น

ผู้ประกาศข่าว VS พิธีกรรายการข่าว แตกต่างกันอย่างไร

เก๋ : สำหรับตัวเราเองมองว่าเสน่ห์ของงานทั้ง 2 มันแตกต่างกัน ตรงที่ผู้ประกาศจะมีสคริปต์ในการรายงานข่าวต่าง ๆ แต่ว่าพิธีกรรายการข่าว จะมีโอกาสได้สัมภาษณ์แหล่งข่าวแบบใกล้ชิด อันนี้จะดีกว่าเพราะว่าแหล่งข่าวคนนั้นเขาจะโฟกัสอยู่กับคำถามของเรา และบางทีเราอาจจะได้คำถามที่น่าสนใจ ที่มาจากระหว่างการพูดคุยกัน ทำให้เราได้ข้อมูลที่เจาะลึกลงไปอีกในรูปแบบของการนั่งทอล์ค แต่ถ้าถามตัวเรา เราจะชอบการลงสนามข่าวเองมากกว่า เพราะว่ามันอยู่ในจุดเกิดเหตุ ได้รู้จักสถานที่ และเราก็สามารถดูบริบทของข่าวนั้นจากสภาพแวดล้อมจริงได้ด้วย ไม่ใช่อยู่แค่ในกระดาษ รวมถึงการสังเกต การดูพื้นที่ข่าวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีก และทุกวันนี้นักข่าวแนวสืบสวนสอบสวนก็มีน้อยลงด้วย ฉะนั้นเราจึงชอบรูปแบบการลงสนามมากกว่าค่ะ

คติประจำใจในการทำงานคืออะไร

เก๋ : ในแต่ละยุคสมัยเชื่อว่าหลายคนก็คงมีคติประจำใจที่ต่างกัน เพราะว่าเมื่อก่อนเราเองจะเป็นคนที่ดื้อหัวชนฝามาก ๆ เลยถือคติที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ก็คือ หักได้แต่ไม่ยอมง้อ แต่พอวันเวลาผ่านไปเราโตขึ้น เรายอมรับอะไรได้มากขึ้น ปัจจุบันเลยถือคตินี้ คือ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ไม่ว่ามันจะทุกข์หรือสุข ปัญหาจะหนักหรือเบา แต่ถ้าเราผ่านมันไปได้ ทุกอย่างจะเป็นประสบการณ์ที่สอนให้เราแข็งแรงและโตขึ้นเอง

ดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองอย่างไรบ้าง

เก๋ : พูดตรง ๆ เลยนะคะคือเป็นคนบ้างานมาก เลยไม่ค่อยรักษาสุขภาพของตัวเองเท่าไหร่ เช่นเมื่อเรามีเวลาว่างแล้วมีใครขอเวลานั้นเพื่อจ้างงาน จะไม่ค่อยปฏิเสธ จะไปตลอด เพราะเรารู้สึกว่าทุกอย่างคืองานที่เราอยากทำไปหมดเลย ก็เลยไม่ค่อยได้มีเวลาพักผ่อน นอนน้อยมาก แต่ถ้าวันหยุดอย่างเสาร์-อาทิตย์ เราก็จะไม่ค่อยรับงานแล้วนะ ซึ่งเอาจริง ๆ ปากก็พูดไปอย่างงั้น พอมีใครจ้างให้ทำเสาร์-อาทิตย์ ก็ทำอีกเหมือนเดิม (หัวเราะ) สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ พยายามนอนให้เกิน 4 ชั่วโมงเท่านั้นเองค่ะ

มีวิธีจัดการอย่างไร กับคนดูที่เข้ามาคอมเม้นท์ด่าเราในโซเชียล

เก๋ : หลัก ๆ เลยคือเราไม่สามารถกำหนดให้ใครคิดยังไงกับเราได้ และเราจะกำหนดให้เป็นไปตามปัจจัยที่เราต้องการก็ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ จัดการกับตัวเองก่อน และจะกลับไปทบทวนว่าถ้าเขาคนนั้นไม่ได้รู้จักเราจริง ๆ เขาตัดสินเราไปแบบนั้นแล้ว เราก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนความคิดเขาได้ เราก็ต้องปรับใจตัวเราเองเป็นอันดับแรก หลังจากเราปรับใจตัวเองได้แล้ว เราค่อยเข้าไปอ่านคอมเมนท์นั้นอีกที ก็จะได้รู้ว่าเราผิดจริงรึเปล่า

แนะนำถึงคนที่อยากจะเป็นนักข่าวหรือผู้ประกาศหน่อย

เก๋ : ส่วนตัวคิดว่าการจะมาเรียนในสาขาวิชาชีพไหนก็แล้วแต่ ต้องค้นตัวเองให้เจอก่อนว่าเราชอบมันจริง ๆ บนโลกนี้ไม่มีอะไรง่ายและก็ไม่ได้มีอะไรสวยงามเหมือนอย่างหน้าจอ เพราะจริง ๆ แล้วงานหน้าจอเป็นงานที่หนักมาก ไม่ใช่งานที่สบายเลย เราต้องมีความรับผิดชอบสูงทั้งต่อตัวเอง คนดู ทีมงาน และการจะมาเป็นผู้ประกาศหากคิดแค่ว่าเรามีความสุขกับการแต่งหน้า ทำผม แล้วนั่งเล่าอะไรไปเรื่อย ๆ ผ่านหน้าจอ ตรงนี้มันไม่ใช่แล้ว อย่างที่บอกว่างานด้านนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ค้นตัวเองให้เจอว่าชอบงานข่าว รักงานข่าวไหม พร้อมที่จะสื่อสารและเปลี่ยนแปลงสังคมไปในแบบไหน แล้วเราก็ได้คำตอบเองว่าเราต้องการทำอาชีพนี้จริง ๆ รึเปล่า

ฝากผลงาน

เก๋ : ขอฝากรายการข่าวใหญ่ไทยแลนด์นะคะ สามารถไปดูได้ที่ช่อง GMM25 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30-17.00 น. อีกรายการทางช่อง News1 รายการเป็นเรื่อง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เหมือนกันค่ะ ตั้งแต่เวลา 20.30-22.00 น. และรายการคนล่าฝัน ทุกวันเสาร์ ช่อง News1 สุดท้ายขอฝากติดตามละครสัมผัสรัตติกาลด้วยนะคะ จะออนแอร์เร็ว ๆ นี้ค่ะ ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น. ทางช่อง GMM25 ค่ะ

ขอบคุณภาพจาก IG @happykae