จัสติน บีเบอร์: จาก “เด็กน้อย” สู่ศิลปิน “แถวหน้า” ของโลก!

สำหรับคนวัยเพิ่งเริ่มทำงานนั้น อ่านเรื่องนี้แล้วอาจจะทำให้รู้สึกแก่ขึ้นมาเลยก็ได้ เพราะนี่ก็เป็นเวลากว่า 10 ปี (ย้ำนะว่า…เกิน 10 ปีแล้ว!) ที่หนุ่มน้อยอย่างจัสติน บีเบอร์ ก้าวเข้าสู่วงการเพลง และกลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินชื่อก้องโลก จนตอนนี้เขามีอายุครบ 24 ปีแล้วด้วย

ไหนๆวันเวลาก็ผ่านมานาน และเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของจัสติน บีเบอร์ผู้นี้ เราจะพาทุกคนมาย้อนอดีต มาดูเส้นทางของหนุ่มจัสติน บีเบอร์ ตั้งแต่เขาเข้าวงการ และเพลงใหม่ๆของเขากัน (เตือนกันก่อนนะ…อ่านแล้วคุณอาจจะรู้สึก “แก่” นึดนึงนะ)

ย้อนกลับไปปี 2008 ที่ตอนนั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ที่ก้าวเข้าสู่วงการเพลง ด้วยเพลง Baby ที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก ทั้งในแง่ดี และในแง่แปลกๆเพราะมิวสิค วิดีโอเพลงนี้ ถือเป้นหนึ่งในวิดีโอที่มีคนกดไม่ชอบมากที่สุดด้วยนะ แต่นั่นก็คือจุดกำเนิดของจัสติน บีเบอร์ ที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยสกุตเตอร์ บรอน นักธุรกิจดนตรีและเจ้าของค่ายเพลง รวมถึงนักร้องรุ่นพี่อย่าง “อัชเชอร์” ด้วย

นอกจาก Baby แล้ว เขายังมีโอกาสได้ร่วมร้องเพลงคู่กับชายหนุ่มที่เป็นคนค้นพบบีเบอร์ อย่างหนุ่มอัชเชอร์ (Usher) และเขาก็มาร่วมร้องเพลง Somebody To Love ด้วยกัน ทำให้ชื่อเสียงของ “บีเบอร์” เริ่มดังเข้าไปอีก และมีกระแส “บีเบอร์ฟีเวอร์” เกิดขึ้นจนได้

และเพราะเขาดังมาก เขาก็มีโอกาสได้เป็นหนึ่งในนักร้องที่มาร่วมร้องเพลงรวมดารา หาเงินช่วยผู้ประสบภัยพิบัติในประเทศเฮติ และยังมีเพลงที่เขาร่วมร้องกับลูกชายของวิลล์ สมิธ อย่างเจเดน สมิธอีกด้วย ซึ่งเพลงนี้ มีชื่อว่า Never Say Never ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหนังคอนเสิร์ตที่ติดตามเขาไปในช่วงนั้น

หลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะเริ่มมีกระแสในด้านลบต่างๆ แต่ก็ยังมีงานเพลงออกมาเรื่อยๆ กับอัลบั้มชื่อ Believe ที่มีเพลงดังอย่าง Boyfriend ออกมา แต่กระแสก็ยังไม่น่าจะแรงเท่าตอนเขาเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ๆ

แต่พอมาถึงปี 2015 เขาก็ได้ปล่อยอัลบั้มชื่อ Purpose ออกมา ซึ่งมีสื่อหลายสำนักมองว่า อัลบั้มนี้น่าจะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของบีเบอร์ เพราะนอกจากจะมีเพลงสไตล์ป๊อปแบบฟังติดหูแล้ว เขายังสามารถเพิ่มเครื่องดนตรีอย่างกีต้าร์เข้ามาผสมได้อย่างลงตัวในเพลง Love Yourself ที่จะออกแนวฟังสบายๆ ใช้เพียงแค่กีต้าร์ และทำให้เราเห็นว่า จัสติน บีเบอร์นั้นมีเนื้อเสียงที่ไพเราะ และแทบจะไม่จำเป็นจะต้องใช้การออโต้ทูนเลย เวลาเขาต้องร้องเพลงสด จนหลายคนชมว่า เขาพัฒนาเรื่องเสียงร้องไปได้เยอะมากในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา

ในอัลบั้ม Purpose นั้นมีเพลงที่โด่งดังอีกสองเพลง คือ What Do You Mean? และ Sorry โดยทั้งสองเพลง และเพลง Love Yourself ที่ได้พูดถึงไปก่อนนั้น สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ตได้หมดเลย

แต่อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องเนื้อเพลงของหนุ่มจัสติน ว่าเนื้อเพลงในอัลบั้มมีเปลี่ยนแนวไป จากแนวใสๆตอนเด็กๆ ตอนนี้จะมีเนื้อเพลงในแนวความเชื่อมั่น และการขอโทษ (น่าจะเป็นการขอโทษกับความผิดพลาดที่เขาก่อในช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้) เลยทำให้อัลบั้มนี้ เหมือนเป็นอัลบั้มที่จัสติน บีเบอร์ “โต” ขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนั่นเอง

ถ้าแค่นี้ยังไม่หนำใจ สิ่งที่สามารถใช้วัดกระแสและความสามารถของจัสติน บีเบอร์ คือการที่เขาไปร่วมร้องเพลง Despacito กับนักร้องลาตินอย่าง Daddy Yankee และ Luis Fonsi จนเพลงนี้กลายมาเป็นเพลงลาตินที่ฮิตที่สุดนับตั้งแต่เพลง Macarena โดยสื่อมองว่า การได้บีเบอร์มาร่วมร้องเพลงนี้ ทำให้เพลงเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้นด้วย โดยมีหลักฐานเป็นผลงานเป็นการขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ดชาร์ตได้ถึง 16 สัปดาห์ติด และยังได้รับการเลือกให้เป็นหนึ่งในเพลงลาตินที่ดีที่สุดตลอดกาลจากนิตยาสารทั้ง บิลบอร์ด, ไทม์, และโรลลิ่ง สโตน อีกด้วย

ก็ถ้าดูแล้ว 10 ปีที่ผ่านมานั้น ชีวิตของจัสติน บีเบอร์ก็มีทั้งขึ้น และมีช่วงเวลาขาลงแบบน่าใจหายอยู่บ้าง และเขาก็โตขึ้น ทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ (มีผิดบ้าง แต่ก็เรียนรู้กันไป) แต่สำหรับอาชีพในวงการดนตรี และชีวิตของเขาตอนนี้ ต้องยอมรับว่าเขาน่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่พอตัวเลย และน่าสนใจว่า บีเบอร์จะงานเพลงแบบไหนมาฝากแฟนเพลงในปีนี้ และปีต่อๆไปอีก…