สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่คนทั้งโลก ผุดขึ้นมาพร้อมกันหลังจากสหรัฐฯยิงขีปนาวุธนำร่องโทมาฮอว์ค 59 ลูก จากเรือพิฆาตของกองทัพเรือ ที่ประจำการอยู่ทางตะวันออกของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าใส่ฐานทัพอากาศในซีเรียที่สงสัยว่าเป็นสถานที่ ปล่อยอาวุธเคมีเข้าใส่พลเรือน
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับรัสเซีย เป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นที่รู้กันว่า ประธานาธิบดีอัล อัดซาด ของซีเรียนั้นมี รัสเซีย คอยให้ความสนับสนุน การตอบโต้ของสหรัฐฯเหมือนกับหยามรัสเซียไปด้วย และเรื่องไม่จบเท่านั้น เพราะประเทศพันธมิตร ของทั้งสหรัฐฯ และ รัสเซีย ต่างออกมาแสดงท่าทีให้ความสนับสนุนข้างของตนเอง
ล่าสุดบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์หัวสีอย่าง “เดอะซัน” ได้แจกแจงความน่าจะเป็นของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ไว้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ว่าหากเกิดสงครามโลกขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อคนทั้งโลกขนาดไหน ใครจะเป็นผู้เล่นตัวสำคัญที่ในสงครามครั้งนี้ และ อาวุธที่จะใช้ในสงครามครั้งนี้จะทำให้เกิดวันสิ้นโลกจริงหรือไม่ เรื่องราวจะน่าสนใจแค่ไหนมาติดตามกัน
1. วลาดิเมียร์ ปูติน อาจเป็นชนวนในการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม
หากจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นจริง บทวิเคราะห์ของ เดอะซัน ระบุว่ามิได้เกิดจากผู้นำสหรัฐฯอย่างที่ทุกคนหวั่นเกรง แต่ผู้ที่จะจุดชนวนนั้นจะเป็นประธานาธิบดี วลาดิเมีย ปูติน ของรัสเซีย ด้วยความที่ปัจจุบันรัสเซีย มีความพยายามในการขยายอำนาจ เข้าไปในประเทศที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิมอยู่เนืองๆและมีรายงานมาอย่างต่อเนื่องว่า ท่านผู้นำแห่งเครมลิน นั้นต้องการให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม ดังนั้นการที่รัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในสงครามกลางเมืองของหลายประเทศจึงเป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้มากขึ้น
ส่วนตำรวจโลกอย่างสหรัฐฯ ที่วันนี้มีผู้นำที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์นั้น ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด เพราะแม้ว่าทรัมป์จะมีภาพลักษณ์ของผู้นำที่เหมือนจะชอบความรุนแรง แต่ในการตัดสินใจส่งขีปนาวุธไปถล่มซีเรียนั้น ทรัมป์ไม่ได้คิดเอง หากแต่เป็นคำแนะนำของที่ปรึกษาจากกองทัพและมีรายงานด้วยว่า ทรัมป์เองมือไม้สั่นไม่น้อย ถามย้ำกับผู้นำกองทัพว่า เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ ถ้าทำแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา ผิดกันกับ ปูติน ถ้าจะลงมือแล้วไม่มีใครหน้าไหนที่ ในรัฐบาลเครมลิน มาห้ามได้เลย
2. จีนจะเป็นผู้เล่นคนสำคัญหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
หากเกิดสงครามขึ้นจริง มีการวิเคราะห์ ว่าผู้นำและประเทศที่จะมีบทบาทมากจะไม่ใช่สหรัฐฯที่อยู่ในบทบาทพี่เบิ้ม ของสนามการเมืองระดับนานาชาติมาอย่างยาวนาน แต่อาจเป็น พี่ใหญ่มาแรงจากฟากเอเชียอย่าง จีนซึ่งผู้นำคนปัจจุบัน สี จิ้น ผิง มีนโยบาย Guanjun Guoji Genti อันหมายถึงการผลักดันให้จีนขึ้นมาเป็นผู้นำโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันจีน ก็เป็นผู้คุมตลาดการค้าหลักของโลกอยู่แล้ว และ จีน ก็มีท่าทีที่ต้องการเป็นผู้คุ้มกฎโลกเสียด้วย
3. ความทันสมัยของอาวุธสงครามรุ่นใหม่ที่วัดใจแค่ปลายนิ้วสัมผัส
สิ่งที่น่ากลัวในความขัดแย้งบนโลกใบนี้ คือเทคโนโลยีในการพัฒนาอาวุธสงครามนั้นก้าวไปไกลมาก สามารถทำได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส หากบรรดาท่านผู้นำทั้งหลายเกิดบันดาลโทสะ อยากจะรบพุ่งไม่เลือกหน้า สงครามที่จะเกิดขึ้นจะเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เพราะศักยภาพของอาวุธสมัยใหม่นั้น มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงชนิดที่สามารถทำให้ประเทศ หรือ หมู่เกาะเล็กๆ หายไปจากแผนที่โลกเพียงพริบตาเดียว
4. วันสิ้นโลกจะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้แต่เหล่ามหาเศรษฐีสร้างที่หลบภัยเอาตัวรอดกันแล้ว
มีรายงานว่า บรรดามหาเศรษฐีจากซิลิคอนวัลเลย์ หรือ เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ได้ซื้อเกาะแห่งหนึ่งในแถบทะเลแปซิฟิกใต้เอาไว้ และสร้างศูนย์สำหรับหลบภัยหลังเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ขณะเดียวกันยังมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายเจ้าที่เริ่มหันมาจับธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่รอดชีวิตหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งธุรกิจดังกล่าวดำเนินไปได้ด้วยดีมียอดขายเรียกได้ว่าเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว
5. ประเมินขุมกำลัง สหรัฐฯแกร่งสุด แต่ถ้ารบกันจริงจะชนะหรือไม่ก็อีกเรื่อง
ข้อนี้เดอะซัน ไปรวบรวมเอาข้อมูลทางกองทัพของ สหรัฐฯ รัสเซีย และ จีนมาเปรียบเทียบกัน โดยพุ่งไปที่เรือดำน้ำซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีชั้นสูง โดยสหรัฐฯ นั้นมี 14 ลำที่ติดตั้งขีปนาวุธ และ มีอีก 280 ลำที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ส่วนรัสเซียนั้นมีเรือดำน้ำแค่ 60 ลำ แต่รัสเซียยังเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของกองทัพโดยมีรายงานว่ากองทัพรัสเซียกำลังพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ตอร์ปิโดสำหรับจีนนั้นมีเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์จำนวน 5 ลำส่วนอีก 53 ลำนั้นติดตั้งจรวจ และ ขีปนาวุธ
ถ้าวัดตามขุมกำลังในข้างต้นแล้ว สหรัฐฯ มีศักยภาพที่มากกว่า แต่ถ้ารบกันจริงคงต้องมาดูอีกทีว่าใครจะแกร่งกว่ากัน เพราะที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐฯแม้จะมีคลังแสงเหนือกว่าใคร แต่ก็เคยพ่ายมาแล้วอย่างเจ็บปวดในสงครามเวียดนาม ที่กลายเป็นตราบาปของกองทัพสหรัฐฯมาจนทุกวันนี้
ภาพจาก pixabay.com