“เสก โลโซ” วิถีร็อคเกอร์หลงยุค พาชีวิตเสื่อม

เรื่องราวของ “เสก โลโซ” หรือ เสกสรรค์ ศุขพิมาย ที่พยายามใช้ชีวิตใน “วิถีร็อคเกอร์” ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องหลงยุคไปสักหน่อย เพราะสังคมนักร้องในปัจจุบัน ที่เป็นร็อคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่กินคลีน ก็ดูแลสุขภาพ ออกวิ่ง เข้าฟิตเนส กันเป็นว่าเล่นมีแต่ “พี่เสก” ที่มัวแต่คิดว่า สุรา นารี และ ยาเสพติด คือวิถีของนักร้องเพลงร็อคที่แท้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว “วิถี” ที่ “เสก” เข้าใจนั้นได้พาเอาความเสื่อมถอยมาให้เขาทั้งสิ้น

ถ้าคุณผู้อ่าน Tonkit 360 ไม่เชื่อลองมาดูไทม์ไลน์ชีวิตของ “เสกสรรค์ ศุขพิมาย” ตั้งแต่วันแรกที่เล่นดนตรีจนเข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพฯ ได้พบกับอดีตคู่ชีวิตแถวสถานทูตจีน จนกลายมาเป็น “เสก โลโซ” ที่มีเพลงฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ก่อนจะหลุดไปสุดขอบจักรวาลชนิดที่กู่ให้กลับได้ยากทีเดียว

ปี 2517- 2535

เสกสรรค์ ศุขพิมาย เกิดในวันที่ 7 สิงหาคม ที่อำเภอ โนนไทย จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดโคกหนองไผ่ ก่อนที่จะร่วมวงโลโซ ได้ตระเวนเล่นดนตรีอาชีพตามผับในหลายจังหวัด ก่อนจะเข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพฯ ซึ่งว่ากันว่าคนที่คอยดูแลเสก ในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นศิลปินดังนั้นคือ กานต์” วิภากร ว่ากันว่ารังรักของทั้งสองคนนั้นเป็นอพาร์ทเมนท์แถวสถานทูตจีน

ปี 2539 – 2546 

“เสก” มีผลงานอัลบั้ม โลโซไซตี้ ในนามวง โลโซ กับดนตรีแนวร็อกเนื้อหาฟังเข้าใจง่าย และมีอัลบั้มต่อเนื่องในปี 2541 กับอัลบั้ม Entertainment 2542 อัลบั้ม Rock & Roll ปี 2544 กับอัลบั้ม Losoland และ อัลบั้มปกแดง

ปี 2546 – 2548  

“เสก” เดินทางไปศึกษาต่อทางด้านภาษาที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน ก่อนจะกลับมาเมืองไทยและรับงานโฆษณา แต่งเพลงให้กับเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และมีผลงาน “เสก โลโซ เดอะ คอลเล็กชั่น ออกวางจำหน่าย

ปี 2549

สก ปล่อยอัลบั้มเดี่ยว ในชื่อชุด Black & White และในปีเดียวกันนั้น “เสก” ก่อเรื่องฉาว ในงานมหกรรมดนตรี  Lincoln Center Festival ด้วยการไปตบหัว “น้อย” วงพรู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายสะบัดรองเท้าปลิวไปโดนตัวระหว่างทำการแสดง

ปี 2554 

หลังผ่านการทำงานในอัลบั้มเดี่ยวอีก สามอัลบั้ม (เสก โลโซ ค่ายอัพจีม Plus ค่ายอัพจี และ ใหม่ ค่าย เยส เรคคอร์ดส) “เสก” ได้ออกอัลบั้มสุดท้ายกับค่าย เยส เรคคอร์คด ในชุด Love Song Acoustic Live เป็นการนำเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ และนับเป็นการสิ้นสุดการทำงานของ “เสก” กับสังกัดในเครือแกรมมี่ หลังจากมีภาพ ที่ “เสก” เสพยาถูกเผยแพร่ทางโซเชียล มีเดีย รวมไปถึงข่าวการทำร้ายร่างกายอดีตภรรยา อย่าง “กานต์” และ มีข่าวอื้อฉาวเรื่องผู้หญิงมาโดยตลอดจนทำให้ แกรมมี่ ประกาศยกเลิกสัญญาที่มีอยู่ทั้งหมด กับ “เสก”

ปี 2556  

หลังถูกยกเลิกสัญญาจากแกรมมี่ “เสก” เปิดค่ายเพลงเอง และ ปล่อยอัลบั้มแรกของตนเองในชื่อว่า I’m Back แม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับในอดีตแต่ “เสก” ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่มีแฟนเพลงคอยติดตามผลงานอยู่ไม่ใช่น้อย

ปี 2559 

แม้จะไม่มีอัลบั้มเต็มออกมา แต่ “เสก” ยังคงเป็นชื่อของศิลปินที่เป็นตัวเลือกแรกๆเสมอเมื่อมีงานคอนเสิร์ตใหญ่ แต่ในระหว่างนั้น “เสก” เองก็ต้องขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์โดยตลอด โดยในปีนี้ เสก  ที่มีปัญหากับ อดีตภรรยานางวิภากร หรือกานต์ มาโดยตลอดทางสื่ออนไลน์ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่ออดีตภรรยาของ “เสก” เปิดเผยว่านักร้องดัง ได้ทำร้ายร่างกายลูกน้องคนสนิทจนบาดเจ็บสาหัสซึ่งเรื่องดังกล่าวได้มีการแจ้งความและมีคำตัดสินในชั้นศาลที่แม้ว่า “เสก” จะถูกรอลงอาญา 2 ปี แต่นักร้องดังก็ต้องจ่ายเงินให้คู่กรณีเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท

ปี 2560 

แม้ว่าเสก จะถูกสั่งให้รอลงอาญา แต่ นักร้องชื่อดังยังมีเรื่องให้คนพูดถึงในเง่ลบมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องยาสพติด และ เรื่องของผู้หญิงโดยในช่วงปลายปี 2560 เสก ได้เปิดตัวลูกชายที่เกิดกับอดีตนักแสดงสาว “แซนวิช” ปภาดา และ ในเวลาเดียวกันก็มีการเปิดตัวแฟนสาวอีกหนึ่งคนคืออีฟ แม็กซิม และในช่วงเดือนธันวาคม หลังเสร็จงานคอนเสิร์ต 250 ปี สมเด็จพระจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เสก ได้ยิงปืนขึ้นฟ้า 10 นัดจนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดี และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นบ้านพักที่กรุงเทพฯ และ “เสก” ได้ไลฟ์ เฟซบุ๊คเหตุการณ์ดังกล่าวจนกระทั่งถูกจับกุมตัวและดำเนินคดี

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เสก ต้องเข้าไปนอนในคุกช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ และเพิ่งจะได้รับการประกันตัวจากทั้งคดีมีอาวุธปืนผิดกฎหมายในครอบครอง และ คดียิงปืนขึ้นฟ้าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อช่วงวันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา

ปี 2561 

จากวีรกรรมมากมายของนักร้องดังน่าจะพอทำให้สังคมได้ตั้งคำถาม ถึงโอกาสและที่ยืนในสังคมของคนมีชื่อเสียง ที่ถึงแม้จะทำผิดครั้งและครั้งเล่าก็ยังสามารถกลับมาผงาดและสร้างรายได้จากผู้คนในสังคมได้อย่างไม่จบสิ้น ทิ้งคำถามคาใจว่าการเป็นคนดังที่ทำมาหากินกับสังคมนั้น ยิ่งต้องแบกรับความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมหรือไม่หรือแท้จริงศิลปินไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มีเพียงสังคมที่ต้องจ่ายค่าความเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่องยาเสพติด การทำร้ายร่างกายผู้อื่น รวมถึงเรื่องล่าสุดอย่างการยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อให้นักร้องคนดังได้มีพื้นที่ในวงการบันเทิง รังสรรค์งานศิลปะ แบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรก็ได้