“การเลี้ยงลูก” ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะกว่าเด็กแต่ละคนจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ร่างกายแข็งแรง อบอุ่น และมีความมั่นคงทางอารมณ์ ล้วนต้องอาศัยความรัก เวลา การดูแลเอาใจใส่ และพลังใจมหาศาล แต่ในความเป็นจริงของชีวิตยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถอยู่ดูแลลูกได้ตลอดเวลา การทำงาน ภาระหน้าที่ และข้อจำกัดต่าง ๆ ทำให้พ่อแม่หลายบ้านจำเป็นต้องมี “พี่เลี้ยงเด็ก” เข้ามาช่วยดูแลลูกในบางช่วงเวลา เพื่อให้พ่อแม่ยังคงรักษาสมดุลชีวิตของตนเองไปพร้อม ๆ กับการเลี้ยงลูกได้ โดยไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม การจะไว้ใจใครสักคนให้มาช่วยเลี้ยงลูกของเรา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจกันได้ง่าย ๆ การจะฝากฝังลูกไว้ในความดูแลของคนอื่น เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ “พี่เลี้ยงเด็ก” จะต้องดูแลตั้งแต่เรื่องอาหาร การนอน การเล่น ดูแลความปลอดภัย อีกทั้ง “พี่เลี้ยงเด็ก” ไม่ได้เป็นแค่คนดูแลลูก แต่คือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับลูกของเราตลอดเวลา จึงมีอิทธิพลโดยตรงต่อพัฒนาการ อารมณ์ และความปลอดภัยของลูกเราด้วย ดังนั้น ก่อนรับ “พี่เลี้ยงเด็ก” เข้าบ้าน จึงต้องระมัดระวังในการพิจารณาคุณสมบัติเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าลูกของเราจะได้รับการดูแลด้วยความรัก ความเข้าใจ และความปลอดภัยสูงสุด โดยอาจใช้แนวทางคร่าว ๆ ดังนี้
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือและประวัติส่วนตัว
การเลี้ยงเด็ก ฟังอาจจะดูเหมือนเป็นงานง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ความจริงคือไม่ง่ายและไม่มีอะไรง่ายด้วย จึงไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้ หากเลือกไม่ดีหรือเลือกผิด อาจพบเจอเข้ากับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตก็ได้ มีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับพ่อแม่ที่เลือกพี่เลี้ยงเด็กไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง เช่น ของในบ้านถูกขโมย เด็กถูกทำร้ายร่างกาย ใช้ความรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี และทางที่ดีที่สุด พ่อแม่ควรจะคัดเลือกและคัดกรองบุคคลให้ถี่ถ้วน ดังนี้
- การตรวจสอบประวัติ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ก่อนจะรับใครเข้าบ้านและไว้ใจให้เลี้ยงลูกเรา ควรตรวจสอบประวัติให้ชัดเจน ขอดูหลักฐานยืนยันตัวตนฉบับจริง หรือถามหาใบรับรองจากหน่วยงานจัดหาพี่เลี้ยง และถ้าเป็นไปได้ ควรตรวจสอบประวัติอาชญากรรมด้วย ซึ่งเราควรเป็นคนตรวจสอบด้วยตัวเอง โดยขอใบรับรองประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 02-205-2168 เช็กทางออนไลน์ ผ่านหน้าเว็บไซต์กองทะเบียนประวัติอาชญากร หรือถ้าเป็นแรงงานต่างด้าว สอบถามที่กรมการจัดหางาน สายด่วน 1694 เพื่อเช็กว่ามีคดีอะไรติดตัว หรือมาสมัครงานเป็นพี่เลี้ยงเพื่อหนีคดีหรือไม่
- คนอ้างอิง อาจขอเป็นเบอร์ติดต่อนายจ้างเก่า หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดหาพี่เลี้ยง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมและประสบการณ์การทำงาน ทัศนคติ และความน่าเชื่อถือ
- การสัมภาษณ์แบบลงลึก ในเมื่อพี่เลี้ยงเด็กก็เป็นงานอย่างหนึ่ง คนเป็นพ่อแม่ที่จะจ้างใครสักคนให้มาดูแลลูกตัวเอง ก็ควรที่จะต้องเรียกมาสอบสัมภาษณ์แบบลงลึกเพื่อดูทัศนคติ เช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน และความรับผิดชอบ และอาจลองสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก คำถามเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องเจอเมื่อเด็กไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมทำการบ้าน หรือร้องไห้ไม่หยุด เพื่อประเมินวิธีคิดและการแก้ปัญหา
- การทดลองงาน ก่อนที่จะรับเข้าทำงานจริง ควรให้พี่เลี้ยงมาทดลองงานดูแลลูกในช่วงเวลาสั้น ๆ ดูก่อน โดยมีพ่อแม่คอยสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดก่อนในระยะแรก และระยะหลังก็อาจแอบสังเกตโดยไม่ให้พี่เลี้ยงรู้ตัวก็ได้ เพื่อดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่เลี้ยงกับลูก สไตล์การดูแลเด็ก และที่สำคัญคือ พฤติกรรมที่ทำต่อเด็กเมื่อไม่มีสายตาของพ่อแม่เด็กควบคุม ว่าไว้ใจได้หรือไม่ ปฏิกิริยาของลูกเราต่อพี่เลี้ยงเด็กเป็นอย่างไร
พิจารณาคุณสมบัติพื้นฐานและบุคลิกลักษณะ
การใช้เวลาครึ่งค่อนวันหรือทั้งวันอยู่กับเด็ก เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานและความอดทนสูงมาก ๆ ยิ่งกับเด็กเล็กแบบทารกแบเบาะที่ยังพูดบอกความต้องการของตัวเองไม่ได้ ทำได้แค่ร้องไห้โยเยเกือบตลอดเวลา ขับถ่ายเลอะเทอะ ต้องคอยเช็ด คอยดูแลความสะอาด หรือวัยกำลังโตที่เริ่มต่อต้าน ไม่ทำตามที่พูดที่บอก มีความดื้อความซนเป็นปกติ ก็ยิ่งเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพี่เลี้ยงเด็ก เพิ่มความกดดันในการทำงาน และเพิ่มความกังวลให้กับคนเป็นพ่อแม่ด้วย ว่าลูกของตนเองอาจไม่ปลอดภัย ถ้าพี่เลี้ยงเด็กดูเป็นคนใจร้อน ไม่ชอบเด็ก (แต่มาทำงานเพื่อให้มีงานทำ) หรือซึมซับพฤติกรรมอะไรที่ไม่ดีมา แล้วจะมาปรับกันทีหลังก็ยาก
- พื้นฐานเป็นคนรักและเมตตาต่อเด็ก สิ่งที่ควรพิจารณาก็คือ ต้องเป็นคนรักเด็ก อ่อนโยน ใจเย็น และมีความอดทนสูง โดยเฉพาะเมื่อเด็กงอแงหรือซน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะอดทนอยู่กับเด็กได้ ควรสังเกตวิธีที่พี่เลี้ยงปฏิบัติต่อลูกของเราในช่วงทดลองงาน
- ทัศนคติเกี่ยวกับเด็ก คนที่มีพื้นฐานไม่ชอบเด็ก มักจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเด็ก อดทนต่อธรรมชาติของเด็กไม่ค่อยไหว แต่พยายามไม่เลือกงานเพื่อให้ตัวเองมีงานทำ ซึ่งบางคนอาจแสดงออกแบบชัดเจนเมื่อพูดถึงเด็ก หรือการใช้สายตามองเด็ก ที่อาจทำให้เด็กกลัว หรือการแสดงออกทางอารมณ์ ให้สังเกตได้จากตอนที่สัมภาษณ์งาน ว่าเมื่อพูดถึงเด็ก มีการใช้น้ำเสียงแบบไหน มีความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กไหม หรือจากสถานการณ์สมมติเวลาที่เจอปัญหา นอกจากดูวิธีคิดและการแก้ปัญหาแล้ว คำตอบยังสะท้อนว่าพี่เลี้ยงใช้เหตุผลหรืออารมณ์เป็นหลัก
- มีวุฒิภาวะและนิสัยดี พิจารณาอายุและวุฒิภาวะที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้เด็กมาเลี้ยงเด็ก ถ้าไม่ใช่พี่น้องกัน (โดยทั่วไปควร 18-20 ปีขึ้นไป) ซื่อสัตย์ ไว้วางใจได้ มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา และมีมารยาทดี เรื่องมารยาทเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเด็กใช้เวลาอยู่กับพี่เลี้ยงทั้งวัน อาจซึมซับพฤติกรรมบางอย่างมา
- สุขภาพร่างกาย มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคติดต่อ เด็กเล็ก ๆ ป่วยงาย และติดโรคได้ง่าย จึงต้องหลีกเลี่ยงพี่เลี้ยงที่สุขภาพไม่แข็งแรง โดยเฉพาะโรคติดต่อ เช่น วัณโรค หรือโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อสู่เด็กได้ อาจขอให้ตรวจสุขภาพก่อนรับเข้าทำงาน
- ความสะอาด เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเช่นกัน อย่างที่บอกว่าเด็กเล็ก ๆ นั้นภูมิคุ้มกันยังต่ำ ติดโรคง่าย พี่เลี้ยงจึงต้องเป็นคนรักความสะอาด มีสุขอนามัยที่ดี ทั้งการดูแลตัวเอง และการดูแลความสะอาดของตัวเด็ก รวมถึงอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ ที่ใช้กับเด็ก
ทักษะและประสบการณ์การดูแลเด็ก
อย่างที่บอกว่างานพี่เลี้ยงเด็กนั้นไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าจะรับใครเข้าบ้านหรือไว้ใจให้มาดูแลลูกเราได้ง่าย ๆ ควรเลือกคนที่มีประสบการณ์ และมีทักษะเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับการเลี้ยงและดูแลเด็ก เพื่อให้ลูกของเราได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและปลอดภัย รวมถึงมีพัฒนาการตามวัยที่ดี เพราะพี่เลี้ยงไม่ใช่แค่คนที่คอยทำความสะอาดขวดนม เช็ดเนื้อเช็ดตัวเมื่อเด็กขับถ่าย ป้อนข้าว กล่อมนอน เล่นด้วย แต่ต้องรู้จักหากิจกรรมที่เหมาะกับเด็กให้เด็กทำ ซึ่งพี่เลี้ยงเด็กที่มีประสบการณ์ จะเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็ก เช่น การฝึกกล้ามเนื้อมือ การพูด การเข้าสังคม ฯลฯ จะสามารถจัดกิจกรรมง่าย ๆ เพื่อกระตุ้นสมองและทักษะของเด็กได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ
- ประสบการณ์ ควรมีประสบการณ์ในการดูแลเด็กเล็กมาก่อน โดยเฉพาะเด็กในวัยเดียวกันกับลูกของเรา เพราะจะเข้าใจพัฒนาการตามวัยและวิธีรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
- ความรู้ด้านพัฒนาการ ควรมีความรู้พื้นฐานในการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย (การเล่น การพูดคุย การจัดกิจกรรม) ไม่ใช่แค่ดูแลเรื่องกินและนอนเท่านั้น
- ทักษะเฉพาะทาง โดยเฉพาะทักษะในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยชีวิตในยามฉุกเฉิน (เช่น อาหารติดคอเด็ก เด็กสำลักอาหาร) และการทำ CPR เด็ก เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที ถ้ามีใบอบรมด้านการดูแลเด็กหรือ CPR ก็จะยิ่งดีมาก
- ความสามารถในการสื่อสาร พี่เลี้ยงเด็กที่ดี ต้องสามารถสื่อสารกับพ่อแม่เด็กได้อย่างชัดเจน เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็ก อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเด็ก คนเป็นพี่เลี้ยงที่อยู่ใกล้ชิดเด็กจะสังเกตเห็นได้ละเอียดกว่า ต้องแจ้งและรายงานสถานการณ์ของเด็กให้พ่อแม่ทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้รับมือกันต่อไป และต้องรับฟังคำแนะนำบางอย่างจากพ่อแม่เด็กด้วย กล้าพูด กล้าถามเมื่อมีปัญหา ไม่ปิดบัง
- เข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์เด็ก พี่เลี้ยงที่ดีต้องเข้าใจว่าเด็กมีพัฒนาการตามวัย มันอาจไม่ใช่พฤติกรรม “ดื้อ” หรือ “ไม่ฟัง” เสมอไป ต้องสังเกตและทำความเข้าใจ รวมถึงควรมีวิธีรับมืออย่างเหมาะสม เช่น เบี่ยงเบนความสนใจ พูดคุยด้วยความเข้าใจ มากกว่าการลงโทษ
ความเข้ากันได้กับครอบครัว
เพราะพี่เลี้ยงเด็กส่วนใหญ่จะต้องอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ซึ่งก็มีทั้งแบบไป-กลับ หรืออยู่ประจำที่บ้าน ทั้งนี้ทั้งนั้น จึงต้องเลือกคนที่เข้ากันได้กับครอบครัว ทั้งบุคลิก ทัศนคติ และนิสัย ต้องสอดคล้องกับบรรยากาศในบ้าน หากเรามีกรอบเลี้ยงลูกแบบใด ต้องบอกพี่เลี้ยงให้ชัดเจนตั้งแต่แรก และดูว่าสอดคล้องกันไหม ปรับเปลี่ยนได้ไหม และต้องพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลงต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มงาน
- กรอบในการเลี้ยงดู พี่เลี้ยงควรมีทัศนคติและวิธีการเลี้ยงดูที่สอดคล้องกับพ่อแม่ เช่น การให้อิสระ การฝึกวินัย หรือการใช้น้ำเสียงในการพูด เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสับสนต้องทำยังไง หรืออะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ หรือเด็กมีพฤติกรรมแบบอยู่กับพ่อแม่ทำตัวอย่าง อยู่กับพี่เลี้ยงทำตัวอีกอย่าง
- ความยืดหยุ่น ควรพูดคุยถึงความยืดหยุ่นในการทำงาน วันหยุด หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ขอบเขตหน้าที่ กำหนดขอบเขตหน้าที่ให้ชัดเจน เวลาเข้างาน/เลิกงาน รายได้ วันหยุด หรือนอกจากการดูแลลูกแล้ว มีหน้าที่อื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ อย่างเช่นช่วยจัดการงานบ้านที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ดูแลเรื่องเสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ และความสะอาดในพื้นที่ของเด็ก บางบ้านจึงจ้างพี่เลี้ยงเพื่อให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย และสะดวกต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- ขอบเขตเรื่องส่วนตัวที่จะมีผลต่อลูกเรา เช่น การใช้โทรศัพท์ การโพสต์รูปเด็ก การพาเด็กออกนอกบ้าน ฯลฯ
สำหรับครอบครัวคนยุคใหม่ “พี่เลี้ยงเด็ก” คือ “ผู้ช่วยสำคัญ” ที่ช่วยให้พ่อแม่ของเด็กยังคงทำหน้าที่ในชีวิตอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่และสามารถกลับมาใช้เวลาคุณภาพกับลูกได้โดยไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องการเลี้ยงลูก โดยที่ลูกยังได้รับความรัก ความอบอุ่น และการดูแลอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง “การจ้างพี่เลี้ยงเด็ก” จึงไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ไม่อยากดูแลลูกเอง แต่มักเป็นการตัดสินใจเพื่อให้ลูกได้รับการดูแลที่ดีที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของชีวิตจริง





























