จริง ๆ เห็นว่า Netflix เด้งแจ้งเตือนซีรีส์เรื่องใหม่ Karma ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 4 เมษายนแล้วล่ะ แต่เพราะมันฉุกละหุกไปหน่อย ซีรีส์ปล่อยวันศุกร์แต่จะต้องรีบดูให้จบเพื่อเขียนงานวันอาทิตย์ มันก็ค่อนข้างท้าทายตัวเองอยู่พอสมควร ต่อให้ดูจบทันแต่ก็แทบจะไม่มีเวลาให้มานั่งตกผลึกสิ่งที่ดูเลย ด้วยความเป็นซีรีส์ที่ปล่อยมารวดเดียว 6 ตอนจบ ก็คือว่าต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง (อิงตามมาตรฐานของซีรีส์ Netflix ที่มักจะตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง) เพื่อที่จะดูซีรีส์เรื่องนี้ให้จบก่อนจะนำมาเขียนงาน แต่มันไม่ได้จริง ๆ สุดท้ายก็เลยเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวสัปดาห์หน้าค่อยว่ากันอีกที
พอระยะเวลาล่วงเลยมา 1 สัปดาห์ มีเวลามากพอให้ได้ตั้งหลักอ่านเรื่องย่อ อ่านรีวิวตามเพจซีรีส์ต่าง ๆ ก็พอจะจับจุดได้ว่าอะไรเป็นอะไร บอกเลยว่าซีรีส์ Karma นี้น่าดูมาก นอกจากจะเป็นซีรีส์ที่ขนนักแสดงตัวตังมาเพียบ ยังเป็นซีรีส์ความยาว 6 ตอนจบที่ดุเดือดทุกตอน ยกเว้นตอนแรกที่อาจจะเนือย ๆ หน่อย ก็เป็นปกติของการปูเนื้อเรื่อง ถ้าอดทนผ่านไปได้หลังจากนั้นจะตื่นเต้นขึ้นเยอะ เพราะความสนุกของเรื่องนี้ คือการที่ได้เห็นพวกคนสารเลวจัดการกันเอง ในวังวนของลิขิตแห่งปีศาจที่ทำให้ทุกคนได้เข้ามาพัวพันกันอย่างน่าขนลุก อารมณ์แบบฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน แต่จุดจบของแต่ละคนสาแก่ใจมาก เรื่องนี้แทบไม่มีคนดีเลย ดีที่สุดก็คือเป็นสีเทาจาง ๆ แต่ชั่วสุดนี่คือดำปี๋เลย

Karma เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคน 6 คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาดด้วยวงจรปีศาจ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวของคนบาป เริ่มที่ตัวละคร “ลูกทรพี” ที่สิ้นเนื้อประดาตัวเพราะคริปโต จึงไปติดหนี้นอกระบบจำนวนเงินมหาศาลแล้วไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้คืน เขามีเวลา 30 วันในการหาเงินมาใช้หนี้ มิเช่นนั้นเขาจะถูกประธานบริษัทเงินกู้เอาตัวไปขายอวัยวะใช้หนี้ ด้วยความเข้าตาจน เขาจึงไปว่าจ้างอดีตเพื่อนร่วมงานที่เป็น “คนเกาหลีสัญชาติจีน” ให้ฆ่าพ่อของเขาเพื่อจะเอาเงินประกันมาใช้หนี้และจ่ายค่าจ้างครั้งนี้ เรื่องเกือบจะไปได้สวย ถ้าไม่มีคนไปเจอศพพ่อของเขาที่ควรจะนอนตายอยู่ริมถนนเพราะถูกชนแล้วหนี ถูกฝังอยู่บนภูเขา

สาเหตุที่พ่อของเขาถูกไปพบว่าถูกฝังอยู่บนภูเขานั้นมีที่มาที่ไป แต่มันดันไปเกี่ยวข้องกับ “หมอหนุ่ม” เจ้าของคลินิกฝังเข็มแผนโบราณคนหนึ่งที่กำลังไปเที่ยวพักผ่อนกับ “แฟนสาว” นอกเมือง ความคลั่งรัก (?) กันมากมายทำให้พวกเขาเจอเข้ากับอุบัติเหตุที่ทำมีคนตาย (!) ระหว่างที่กำลังตื่นตระหนก พวกเขาก็พบว่ามี “พยาน” ที่รู้เห็นอุบัติเหตุนั้น เขาจึงพยายามใช้เงินปิดปากพยาน แต่เรื่องกลับเลวร้ายลง เมื่อพยานเรียกร้องเงินปิดปากมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็เริ่มพบกับความไม่ชอบมาพากลของพยานคนนี้ เรื่องราวจึงไปกันใหญ่ โยงใยกับตัวละครอื่น ๆ จนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ และปรากฏตัวของ “หมอสาว” ผู้มีแผลใจจากอดีต ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครบางตัว
ฆ่าคนคนนึงให้หน่อย…พ่อฉันเอง
นี่แหละ จุดเริ่มต้นของทุกหายนะในเรื่องนี้ ปมแรกของบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกตัวละครในเรื่องต้องมาป๊ะกันและไล่ฆ่ากันเอง ลูกทรพีที่จ้างวานอดีตเพื่อนร่วมงานให้ไปฆ่าพ่อตัวเองเพื่อหวังเอาเงินประกันชีวิตของพ่อไปจ่ายหนี้ แต่เรื่องมันดันไม่จบแค่พ่อตายนี่สิ มันกลับโยงใยไปที่ตัวละครอื่นที่รู้จักกัน หรือเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คนเขียนบทเขาก็เข้าใจผูกโยงตัวละครเข้าไว้ด้วยกันนะ มันดูเหมือนจงใจสร้างเรื่องบังเอิญขึ้นมาจนเกินจริงก็จริง แต่ในความรู้สึกของคนดู ความเชื่อมโยงของตัวละครต่าง ๆ มันก็สมเหตุสมผลที่เป็นไปได้ เพราะชีวิตคนเรารู้จักคนหลายคน คนหลายคนนั้นเขาก็รู้จักคนอีกหลายคน ซึ่งมันก็เป็นไปได้ที่คนหลาย ๆ คนนั้นจะรู้จักกันเอง และวนมารู้จักกับเรา

แต่เอาเข้าจริงนะ พอเรื่องเริ่มเฉลยว่าตัวละครแต่ละตัวเคยมีความเกี่ยวข้องกัน ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องมันหักมุมอะไรมากมาย มันพอจะเดาเรื่องได้ว่าตัวละครนี้จะไปเชื่อมโยงกับอีกตัวละครยังไง ใครจะไปเจอกับใครแล้วมีเรื่องราวประมาณไหน ความน่าทึ่งของเรื่องนี้สำหรับเราจึงไม่ได้อยู่ที่การที่ตัวละครทุกตัวมีความเชื่อมโยงกัน แต่เชื่อมโยงกันอีท่าไหนต่างห่างที่ทำให้มันดูว้าวมาก ๆ และก็นะ ถ้าพวกเขาทั้งหมดเชื่อมโยงกันด้วยเรื่องดี ๆ ซีรีส์เรื่องนี้คงไม่ชื่อเรื่องว่า Karma ที่แปลตรงตัวได้ว่า “กรรม” หรอก และเพราะกรรมหนักอย่างความโลภที่ทำได้แม้กระทั่งสั่งฆ่าพ่อบังเกิดเกล้านี่เอง ที่ทำให้จุดจบของพวกเขาแต่ละคนไม่ค่อยจะสวยกัน

สำหรับตัวละครลูกทรพีที่สั่งฆ่าพ่อตัวเอง ต้องบอกว่าพื้นฐานของเขาก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร เป็นพวกเกกมะเหรกเกเรมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น และก่อคดีอาชญากรรมตั้งแต่อายุเพียง 17-18 ปีเท่านั้น เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ละทิ้งสันดานเดิม สำมะเลเทเมา พาตัวเองไปสู่หนทาแห่งความเสื่อม ก่อหนี้ก่อสินจนท่วมหัว และเป็นคนที่เอาชีวิตของตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายเอง พอถึงทางตัน ดันตัวเองไปอยู่ในสถานะจนตรอก ด้วยความเข้าตาจน ก็คิดและตัดสินใจทำอะไรที่มันชั่วช้าอย่างการสั่งฆ่าพ่อตัวเองโดยทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุเพื่อเอาเงินประกัน และก็ดันคิดแบบโง่ ๆ ว่าอะไร ๆ มันจะง่ายและลงล็อกตามแผนที่วางไว้ ไม่คิดเผื่อปัจจัยภายนอกที่เกิดแทรกได้ทุกเมื่อ

ก็นะ ถ้าเขาไม่ตัดสินใจทำแบบนี้เพื่อจบปัญหาทุกอย่าง ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะเจอกับหายนะ แต่…สิ่งที่เขาตัดสินใจทำ มันก็นำมาซึ่งความยุ่งเหยิงระดับหายนะอยู่ดี จากติดหนี้ โดนทวงหนี้แบบฮาร์ดคอร์ หาเงินมาใช้หนี้ด้วยการฆ่าพ่อ ลามไปสู่การสร้างเรื่องหลอกลวง วังวนของการฉ้อฉลต้มตุ๋น และปิดจบด้วยการแก้แค้นที่มีเงาจากอดีตคอยหลอกหลอน การพัวพันกันอย่างไม่คาดฝันด้วยลิขิตแห่งปีศาจ ทำให้พวกเขาพยายามที่จะไขว่คว้าทุกอย่างตามแรงปรารถนาของตน โดยที่ไม่สนใจด้วยว่ามันจะทำลายใครบ้าง และไม่เคยคิดด้วยว่ามันจะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องเวรกรรม แต่เห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่าคงมีอยู่จริงแหละครับ
เพราะทุกการกระทำมีผลลัพธ์ของมัน อยู่ที่ว่าจะหวนคืนแก่คนที่ก่อกรรมช้าหรือเร็วก็แค่นั้น จริง ๆ หลังจากที่ดูซีรีส์เรื่องนี้จบ สิ่งเดียวที่คิดได้ในหัวก็คือ หลักคำสอนข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่ว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง” ซึ่งมันก็ตรงตัวตามชื่อของซีรีส์เลยว่า Karma จะว่าไป อยากจะชื่นชมคนที่คิดชื่อภาษาไทยของซีรีส์เรื่องนี้ว่า “อุบัติกรรม” เหมือนกันนะ ทั้งที่จะแค่แปลมาแบบตรงตัวว่า “กรรม” เลยก็ได้ มันก็สื่อได้ชัดเจนแล้ว แต่การเลือกที่จะใส่คำว่า “อุบัติ” ที่แปลว่า การเกิดขึ้น, กำเนิด, การบังเกิด, รากเหง้า, เหตุ ลงไปเพิ่ม ยิ่งทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มันสื่อถึงเรื่องกรรมได้ชัดเจนกว่าเดิมอีก เพราะหายนะทั้งหมดในซีรีส์ เกิดขึ้นเพราะมีคนทำให้กรรมกำเนิดชั่วขึ้น ก็ต้องรับผลไป

กรรมคือการกระทำ และคนที่ก่อกรรมนั้น ๆ ก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง เช่นเดียวกันกับหว่านพืชเช่นไร ก็ย่อมได้ผลเช่นนั้น และทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่เป็นกฎแห่งการกระทำที่เที่ยงตรงและยุติธรรมเสมอ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็คงมีแนวคิดที่อ้างอิงมาจากประเด็นนี้แหละ เพราะมันเป็นซีรีส์ที่เล่าตั้งแต่การก่อกรรมชั่วของตัวละคร และผลลัพธ์แห่งการกระทำชั่วที่เกิดขึ้น หรือก็คือ “ผลแห่งกรรม” นั่นเอง เราจะเห็นว่า คนที่ก่อกรรมชั่วไว้ สุดท้ายก็จะไม่ได้ตายดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องตายด้วยผลของการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น

จากจุดเริ่มต้นที่เปิดมาด้วยการกระทำโง่ ๆ และชั่วร้ายของคนคนหนึ่งที่เพียงต้องการจะเอาชีวิตรอดจากการทวงหนี้ที่โหดร้าย จริง ๆ มันก็แค่วิธีการเอาตัวรอดของคนสิ้นคิด สิ้นหวัง และสิ้นความดี เพราะเขาคิดแผนที่เลวทรามนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ เลย และมันก็ดันกลายเป็น Butterfly Effect ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงมากกว่าที่คิด ในตอนแรกชายที่ติดหนี้เพียงต้องการจะฆ่าพ่อเพื่อหวังผลตอบแทนจากประกันชีวิต แต่ดันมีอีกหลายชีวิตที่ต้องสังเวยตามไป จากผลของการกระทำที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าขยะแขยง นี่จึงเป็นสายสัมพันธ์ที่น่าสมเพชของเหล่าคนบาปที่ไม่เคยคิดว่าเวรกรรมมันมีอยู่จริง!

แล้วคุณล่ะ คิดว่าเวรกรรมมีอยู่จริงหรือเปล่า? บางคนอาจจะเชื่อว่ามีอยู่จริงเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจว่าเวรกรรมเป็นเรื่องของการกระทำ ที่ถ้าทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลจากการกระทำ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของศาสนาหรือความเชื่อที่ดูงมงาย แต่มันเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ แต่บางคนก็อาจจะไม่เชื่อ ด้วยเข้าใจว่ามันก็แค่การหยิบนั่นมาชนนี่ให้มันดูมีที่มาที่ไปทั้งที่ไม่เกี่ยวกัน มันก็แค่ความบังเอิญมากกว่า หรืออาจเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยเห็นว่าคนทำไม่ดีจะได้รับผลกรรมอะไร หรือคนทำดีก็ไม่เห็นจะได้สิ่งตอบแทนที่ดี ก็นะ บางทีผลลัพธ์บางอย่างมันก็ไม่ได้เห็นผลทันตาขนาดนั้น มันอาจต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่หว่านสักหน่อย จากนั้นเดี๋ยวรู้กัน
นานแล้วนะที่ไม่ได้ดูซีรีส์แบบรวดเดียวจบโดยที่ไม่แวะพักทำอย่างอื่นเลย ตั้งแต่ปีใหม่มา Karma นี่น่าจะเป็นเรื่องแรกของปีนี้แหละ เปิดดูตอนแรกตั้งแต่ประมาณ 7 โมงเช้าของวันเสาร์ ยิงยาวไปถึงตอนเที่ยงกว่า ๆ ก็จบแล้ว นี่พยายามดูแบบรวบรัดสุด ๆ เลยนะ แบบขึ้นเอนเครดิตตอนจบปุ๊บก็กดข้ามไปตอนหน้าปั๊บ นอนกลิ้งไปกลิ้งมา เข้าห้องน้ำก็ถือติดมือไปดูด้วย แป๊บ ๆ ก็จบ 6 ตอน สำหรับเรา อาจจะไม่เห็นด้วยกับหลาย ๆ คนที่บอกว่ามันหักมุมไปมาเยอะ เพราะส่วนตัวพอจะเดาทางออกว่าเรื่องมันไปทางไหน แล้วก็เดาถูกซะส่วนใหญ่ด้วย แต่ไม่เถียงเลยว่ามันสนุกมาก จริง ๆ ถ้าข้ามช่วงน่าเบื่อที่ปูเรื่องราวในตอนแรกไปได้ หลังจากนั้นคือจุดติด เดินเครื่องไปเลยยาว ๆ 🔄