ทำความเข้าใจเรื่อง “ยาแก้ปวด” กินอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย

ยาแก้ปวด เป็นยาที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งแทบทุกบ้านน่าจะมีติดบ้านกันอย่างน้อย 1 แผงหรือไม่ก็ 1 กระปุก หลายคนกินยาแก้ปวดเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และยาแก้ปวดบางตัวก็ยังออกฤทธิ์ช่วยลดไข้ได้ด้วย ยาแก้ปวดที่เราคุ้นชื่อกันดีที่สุดก็น่าจะหนีไม่พ้นยาพาราเซตามอล ยาแอสไพริน และยาไอบูโพรเฟน ด้วยความที่เราคุ้นเคยกับการใช้ยาแก้ปวดบางตัวเป็นอย่างดี จึงอาจจะรู้สึกไปเองว่ามันเป็นยาสามัญทั่วไปและไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้ แต่จริง ๆ แล้วยาแก้ปวดมีหลายประเภท และแต่ละตัวก็จะออกฤทธิ์และเหมาะสมกับอาการปวดที่แตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น การกินยาแก้ปวดจึงไม่ได้หมายความว่าจะกินยาตัวไหนก็ได้อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะการใช้ยาแก้ปวดผิดวิธีหรือใช้ยาเกินขนาด ใช้มากเกินจำเป็น ก็อาจสร้างผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คาดคิด เพื่อประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดและปลอดภัยต่อการใช้งาน ผู้ใช้ยาจึงควรศึกษาวิธีใช้ยาแก้ปวดแต่ละประเภทอย่างถูกต้องและเหมาะสม ที่สำคัญคือ ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกตัวจะดีที่สุด

1. ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol)

ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เป็นยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการลดไข้แต่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีกลไกการออกฤทธิ์โดยการเปลี่ยนแปลงการรับความรู้สึกเจ็บปวดและลดอาการปวดที่เกิดร่วมกับไข้ได้ มีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาน้ำ เหมาะสำหรับอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน หรือปวดจากข้อเสื่อม

วิธีใช้: รับประทานทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (โดยปกติ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อครั้ง)

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคตับรุนแรง หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก
  • หลีกเลี่ยงการใช้เกินขนาด เพราะอาจทำให้ตับถูกทำลาย

2. ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรืออาจเรียกว่ายาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ก็ได้ มีกลไกการออกฤทธิ์โดยยับยั้งสารเคมีในร่างกายที่ทำให้เกิดอาการปวด ลดการอักเสบหรือบวม และยังมีฤทธิ์ในการลดไข้ได้ดีกว่ายาในกลุ่มพาราเซตามอล ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs จึงใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดและลดอาการอักเสบในโรคข้ออักเสบต่าง ๆ เช่น รูมาตอยด์ เอ็นข้อมืออักเสบ ข้อกระดูกเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ บางชนิดใช้บรรเทาอาการปวดเฉียบพลันไม่ว่าจะเป็น ปวดประจำเดือน ปวดฟัน ปวดจากแผลผ่าตัด แก้ปวดลดไข้ เป็นต้น

โดยยากลุ่มนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • ยากลุ่ม NSAIDs ที่ไม่เฉพาะเจาะจง มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไซโคลออกซิจีเนส (Cyclooxygenase หรือ COX) ซึ่งมีทั้ง COX-1 และ COX-2 เช่น แอสไพริน (Aspirin) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ไดโคลฟีแนก (Diclofenac) นาพรอกเซน (Naproxen) ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) เป็นต้น
  • ยากลุ่ม NSAIDs ที่เฉพาะเจาะจง มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ COX-2 โดยเฉพาะ เช่น เซเลคอกซิบ (Celecoxib) เอทอริคอกซิบ (Etoricoxib) พาเรคอกซิบ (Parecoxib)

วิธีใช้: ควรรับประทานหลังอาหารเพื่อลดการระคายเคืองต่อกระเพาะ และใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามฉลากยา

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร โรคตับ โรคไตวาย หรือมีประวัติแพ้ยา NSAIDs
  • หลีกเลี่ยงในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง
  • ระวังการใช้ในผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง ผู้ที่อยู่ระหว่างการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หญิงมีครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร (เนื่องจากยาบางตัวผ่านรกและถูกขับออกทางน้ำนมได้)
  • ระวังการใช้ยาร่วมกับยาอื่น เพราะยาในกลุ่มนี้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาได้มาก

3. ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)

ยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ เป็นยาแก้ปวดที่มีกลไกการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางในการลดสัญญาณความเจ็บปวดจากระบบประสาทและปฏิกิริยาของสมองต่อความเจ็บปวด ใช้ลดอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลังจากการผ่าตัด อาการปวดจากโรคมะเร็ง หรืออาการปวดเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น มีทั้งรูปแบบแบบยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ ยาฉีด หรือแผ่นแปะผิวหนัง ที่สามารถบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อหรือข้อเฉพาะที่ เช่น บิวพรีนอร์ฟีน (Buprenorphine) เทปเพนตาดอล (Tapentadol) นาลบูฟีน (Nalbuphine)

อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มโอปิออยด์บางชนิดถูกจัดเป็นยาเสพติด เพราะออกฤทธิ์ให้รู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม มีอาการเมา และอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดการเสพติดได้ เช่น โคเดอีน (Codeine) เฟนทานิล (Fentanyl) มอร์ฟีน (Morphine) เมทาโดน (Methadone) ทรามาดอล (Tramadol) โดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถหาซื้อ จำหน่าย ผลิต นำเข้า ส่งออกหรือครอบครองได้

วิธีใช้: ใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น และไม่ควรใช้ระยะยาวโดยไม่มีการติดตามผล

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะกดการหายใจ โรคตับ หรือโรคไตรุนแรง
  • อาจเกิดการพึ่งพิงยาได้ หากใช้นานเกินไป
  • ไม่ควรหยุดยาทันที หากใช้ยามาเป็นระยะเวลานาน ควรลดขนาดยาลงตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงของอาการถอนยา
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารที่กดประสาท เช่น แอลกอฮอล์ ยานอนหลับ หรือยาคลายเครียด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงรุนแรง
  • สำหรับแผ่นแปะแก้ปวด หลีกเลี่ยงการใช้กับผิวหนังที่มีแผล

ยาแก้ปวด เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม

เนื่องจากยาแก้ปวดแต่กลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกใช้ยาให้ถูกประเภท เหมาะสมกับอาการปวด หรือในบางคนอาจแพ้ยาแก้ปวดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้ยาแก้ปวดอีกกลุ่มแทน ดังนั้น หากมีประวัติแพ้ยาตัวใด ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ

หากมีอาการปวดหรือมีไข้เล็กน้อยถึงปานกลาง แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอลขนาด 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หรือ 1 เม็ด (500 มิลลิกรัม/ครั้ง) หากรับประทานยาเกินขนาดอาจทำให้เกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้ โดยปริมาณที่แนะนำ คือ

  • ผู้ใหญ่ ควรรับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 8 เม็ดต่อวันและไม่ควรกินต่อเนื่องเกิน 5 วัน
  • เด็ก/ผู้มีน้ำหนักตัวน้อย/ผู้ป่วยโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

ถ้ามีไข้สูงหรือต้องการลดไข้อย่างรวดเร็ว แนะนำให้รับประทานยาไอบูโพรเฟน 5-10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) วันละ 3 ครั้ง แต่มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออก

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดและอักเสบร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวไมเกรน ปวดประจำเดือน ปวดฟัน หรือปวดอักเสบกล้ามเนื้อ ตลอดจนมีไข้ ควรเลือกใช้ยาแก้ปวดลดอักเสบในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพราะมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อในระดับปานกลางถึงรุนแรงและลดการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ โดยเป็นยาที่มีข้อมูลในการใช้มากที่สุดในกลุ่ม หากต้องการลดอาการปวดอย่างรวดเร็วควรเลือกกินไอบูโพรเฟนในรูปแบบ Clear cap ที่ออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น โดยวิธีการรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 12 ปี คือ กินครั้งละ 400 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 3 แคปซูลต่อวัน

หากมีอาการปวดระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง อย่างอาการปวดชนิดเฉียบพลันหลังผ่าตัด อาการปวดจากบาดแผล โรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรคข้อรูมาตอยด์ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) เช่น มอร์ฟีน (Morphine) โคเอดีน (Codeine) เมทาโดน (Methadone) เฟนตานีล (Fentanyl) ซึ่งไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่การใช้ยาในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น และต้องมีการติดตามประเมินอาการก่อนหยุดยา

วิธีการใช้ยาแก้ปวดอย่างถูกต้อง

ยาแก้ปวดบางประเภทจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านอย่างหนึ่งที่สามารถหาซื้อได้เอง เช่น ยาพาราเซตามอลและยาแอสไพริน แต่ก็ควรเลือกซื้อยาจากร้านที่มีมาตรฐานหรือซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้จ่ายยาเท่านั้น โดยวิธีการกินยาแก้ปวดให้ถูกต้องและปลอดภัย คือการกินเท่าที่จำเป็น เมื่อมีอาการ และใช้ในระยะสั้นเท่านั้น และควรคำนึงถึงข้อควรระวัง ดังนี้

  • ควรกินยาแก้ปวดตามข้อบ่งชี้บนเอกสารกำกับยา หรือกินยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ไม่ควรกินยาแก้ปวดเกินกว่าที่กำหนด เช่น ผู้ใหญ่ที่มีการทำงานของตับปกติไม่ควรกินยาพาราเซตามอล เกินวันละ 8 เม็ด (ส่วนประกอบตัวยา 500 มิลลิกรัม/เม็ด) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยละเอียดก่อนใช้ยาแก้ปวดทุกชนิด
  • ควรเว้นระยะห่างของมื้อยาอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และไม่ควรใช้ยาแก้ปวดติดต่อกันเกิน 5 วัน เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับหรือไตได้
  • ห้ามกินยาร่วมกับการสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้นและเพิ่มโอกาสต่อการเกิดภาวะตับล้มเหลว
  • ยาแก้ปวดใช้สำหรับรักษาหรือบรรเทาอาการปวด ไม่ได้ใช้สำหรับป้องกันอาการป่วย ดังนั้น ห้ามกินยาแก้ปวดกันเอาไว้ก่อนมีอาการเพราะเป็นการใช้ยาเกินจำเป็น และอาจทำให้ใช้ยาเกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ
  • ในกรณีที่ลืมกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลสามารถกินยาได้ทันทีที่นึกขึ้นได้ และเว้นช่วงระหว่างมื้อยาประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงกินยาเม็ดถัดไปโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา

อันตรายจากการใช้ยาแก้ปวดเกินความจำเป็น

ยาแก้ปวด หรือยาบรรเทาปวดลดไข้ อย่างยาพาราเซตามอลหรือยาแอสไพริน อาจดูเหมือนเป็นยาสามัญทั่วไปและไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้ แต่ยาก็คือยา ใช้สำหรับรักษาโรค หากได้รับเกินขนาดที่แนะนำก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายได้ เช่น

  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีเหงื่อออกเยอะมากกว่าปกติ
  • หลังกินยาแก้ปวดในกลุ่มยาพาราเซตามอล ยาแอสไพริน เกินขนาดภายในช่วง 24-48 ชั่วโมง มักพบเอนไซม์ทรานซามิเนส (Transaminase) เพิ่มสูงขึ้นในเลือด ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่บ่งชี้ว่าเกิดการอักเสบบาดเจ็บที่บริเวณตับ อาจทำให้ตับเสื่อมสภาพในระยะยาวหรือมีภาวะตับวายได้
  • ไตเสื่อมสภาพและทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการบวม ปัสสาวะออกน้อย
  • การกินยาแก้ปวดเกินขนาดอาจทำให้เกิดแผลหรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการปวดท้อง แสบท้อง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
  • อาการในระยะที่มีการใช้ยาเกินขนาดในปริมาณมากหรือใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดมาเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ตับอักเสบ มีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ข้อควรระวังที่ต้องรู้เกี่ยวกับการใช้ยาแก้ปวด

  • ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคตับหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรเพื่อเลือกใช้ชนิดยาแก้ปวดและปริมาณที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับไตหรือทำให้สุขภาพของตับหรือไตแย่ลง
  • ระมัดระวังไม่ใช้ยาแก้ปวดกับคนที่แพ้ยาชนิดนั้น ๆ หรือก็คือหลังจากใช้ยาแล้วพบอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นคันหรือผื่นแดงขึ้นตามตัว รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มีอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ปัสสาวะออกน้อย ให้หยุดใช้ยาและควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • ระมัดระวังการใช้ตัวยาแก้ปวดซ้ำซ้อนกันโดยไม่ตั้งใจ เพราะอาจทำให้ได้รับปริมาณตัวยาเกินกำหนด เช่น การกินยาคลายกล้ามเนื้อร่วมกับยาอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของยาแก้ปวดหรือยาบรรเทาอาการของโรคไข้หวัด
  • ยาแก้ปวดบางชนิดมีฤทธิ์กัดกร่อนกระเพาะอาหารหรือทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร จึงไม่ควรกินยาขณะท้องว่าง เช่น ยาแก้ปวดแอสไพริน ไดโคลฟีแนค ไอบูโพรเฟน ไพร็อกซีแคม และผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างระมัดระวัง
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ด้วยตัวเอง เนื่องจากมียาบางชนิดที่จัดเป็นสารเสพติดให้โทษแก่ร่างกาย เช่น ยามอร์ฟีน ยาทรามาดอล อาจทำให้เกิดการใช้ยาเกินขนาดและมีภาวะเสพติดยาได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง ตลอดจนทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลวเฉียบพลัน ร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

ข้อมูลจาก RAMA CHANNEL