“ตลาดรถ 2568” ไฟฟ้า หรือ ไฮบริด

เมื่อปลายปี 2567 ผมมีโอกาสเดินทางไปร่วมเดินชมงานมกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป แม้ในงานจะมีการเปิดตัวรถโมเดลกันหลายยี่ห้อ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า การเปิดตัวที่เป็น All-NEW จริง ๆ (ไม่ใช่ปรับโฉมย่อย แล้วใช้คำว่า All-NEW) น้อยลงกว่างานแสดงรถยนต์ในช่วงเวลาเดียวกันของในยุคอดีตมาก ๆ

เพราะหากย้อนไปสัก 10 ปี งานแสดงรถปลายปี ทุกค่ายต้องนำเอารถโมเดลใหม่มาเปิดตัวพร้อมเปิดจองกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ในยุคนี้ต้องยอมรับครับว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การแข่งขันที่เข้มข้น หรือการเปลี่ยนแปลงในทางพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ทำให้ความต้องการในการควักเงินซื้อรถลดลง

ระดับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างโตโยต้า ยังเจอกับปัญหานี้ ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับแหล่งข่าววงในของค่ายรถเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น เขายังยอมรับเลยว่าการเข้ามาของรถจีน โดยเฉพาะ EV ทำให้ตัวเลขยอดขายลดฮวบ อย่างระดับ ดี-เซกเมนต์ ที่ปกติแคมรี่ จะมีคู่แข่งแค่แอคคอร์ ตอนนี้รถไฟฟ้าจีน ดี-เซกเมนต์ เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งตลาดไปเพียบ

ซึ่งปัญหานี้กระทบไปถึงรถมือสองด้วย อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Chobrod ที่ผมได้รับมาล่าสุด บอกว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา ความสนใจรถยนต์มือสองค่อย ๆ ลดลง จนถึงสิ้นปี 2567 นั่นเป็นผลมาจากการเข้มงวดของนโยบายสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทำให้ผู้ซื้อมีความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้

ในปี 2567 รถมือสองที่ได้รับความนิยมในการค้นหายังคงเป็นรถกระบะ โดย Isuzu D-Max ยังคงอยู่ในอันดับแรกด้วยการค้นหาประมาณ 530,000 ครั้ง รถซีดาน D-class มือสองทั้ง Toyota Camry และ Honda Accord มีการค้นหา 385,094 และ 219,166 ครั้งตามลำดับ แต่ราคาของรถยนต์มือสองนั้นลดลงในทุกกลุ่ม

ส่วนรถในตลาดการประมูล มีตัวเลขจาก สหการประมูล ที่มีการประเมินว่า ปี 2568 ราคาตลาดรถยนต์มือสองจะปรับสูงขึ้นร้อยละ 10-15 เนื่องจากปริมาณรถยนต์มือสองคุณภาพสูงมีจำกัด คาดการณ์ปริมาณรถยนต์มือสองที่จะเข้าสู่กระบวนการประมูลในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 250,000 คัน ซึ่งลดลงจากปี 2567

ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม ปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านเครดิตสำหรับบุคคลและองค์กรที่มีการกู้ยืม การปรับลดครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมลดลง และกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคลในปี 2568 นี้

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าท่ามกลางกระแสรถยนต์จีนราคาจับต้องได้ที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อรถมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าในระยะยาว หากผ่านไป 3-4 ปี คุณภาพและสมรรถนะของรถไฟฟ้าจะเป็นไปอย่างที่หลายคนกังวลกันด้วยหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ธุรกิจด้านรถมือสองก็จะแย่ลงไปอีก

สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าเราจะเห็นข่าวดีลเลอร์ประกาศปิดตัว หรือค่ายรถปรับลดการผลิตอีกมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ แนวโน้มรถ EV อาจไม่พุ่งกระฉูดเหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมา รถไฮบริดที่ราคาสมเหตุสมผลอาจเป็นทางรอดกับความท้าทายของตลาดรถยนต์ในปีงู 2568 นี้ครับ