สัปดาห์ที่แล้วดูซีรีส์ผีขายขำอยู่ไทย แต่สัปดาห์นี้ขอบินกลับเกาหลีไฟล์ทด่วนจี๋ เพราะซีรีส์เรื่องที่รอคอยอยู่นานถึงคิวลงจอเสียที จัดไปฉ่ำ ๆ 3 ตอนรวดแบบไปเกรงใจสภาพดวงตากันเลย ด้วยความที่สนใจพล็อตตั้งแต่มีข่าว มันดูแปลกใหม่กว่าหลาย ๆ เรื่องในปีนี้ที่เล่นพล็อตซ้ำ ๆ เกร่อไปหมด แถมยังผสมผสานเอาหลาย ๆ genre มารวมไว้ด้วยกันโดยที่ไม่รู้สึกประดักประเดิดเลยสักนิด ทั้งแอ็กชัน ทริลเลอร์ อาชญากรรม กฎหมาย แฟนตาซี โรแมนติก ที่สำคัญคือมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่พอสมควรกับซีรีส์แนวกฎหมาย มันไม่ใช่การที่ตัดสินโทษให้อาชญากรได้รับโทษสูงสุดเพื่อคืนความยุติธรรมให้เหยื่อ แต่มันคือการ “เชือดทิ้ง” ให้ไปลงนรก เพราะทุกคนมีที่ทางที่เหมาะสมที่ต้องไปหลังหมดลมหายใจ
The Judge From Hell เป็นเรื่องราวของ “คังพิตนา” ผู้พิพากษาสาวที่ถูกคนปริศนาแทงตายตั้งแต่เปิดเรื่อง วิญญาณของเธอควรถูกส่งไปลงนรกแห่งคนโกหก (ที่ยังไม่รู้ว่าโกหกอะไรร้ายแรงขนาดไหนถึงได้ถูกส่งไปลงนรก) แต่ไม่รู้ว่าระบบของนรกเกิดสับสนอะไรขึ้นมาจึงเกิดความผิดพลาดส่งวิญญาณของเธอไปผิดที่ เธอไปโผล่ที่นรกแห่งฆาตกร สถานที่ที่ตัดสินโทษคนบาปที่เคยเป็นฆาตกรพรากชีวิตของผู้อื่นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แทน
ซึ่ง ณ ศาลแห่งนี้ มีผู้พิพากษาสูงสุดคือ “จัสติเซีย” หล่อนเป็นปีศาจผู้พิพากษาที่ออกจะวู่วาม เอาแต่ใจตัวเอง และขี้รำคาญไปสักหน่อย หล่อนเลยใจร้อน รีบปิดจบการพิจารณาคดีของคังพิตนาโดยที่ไม่ฟังคำอธิบายอะไรของเธอเลย แม้ว่าเธอจะร้องบอกว่าเธอไม่เคยฆ่าใคร และอุทธรณ์ขอความยุติธรรม หล่อนไม่ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าเป็นความผิดพลาดประการใดที่คังพินนาถูกส่งมาที่นรกแห่งฆาตกรทั้งที่ไม่มีลิสต์รายชื่อ เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด หล่อนจึงถูกท่านบาเอล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการแห่งนรกลงโทษ ให้ลงมาทำภารกิจที่โลกมนุษย์ พิพากษาคนบาป 10 คนที่ก่อเหตุฆาตกรรมแต่ไม่เคยสำนึกและไม่ได้รับการให้อภัย พรากชีวิตคนเหล่านั้น แล้วส่งมายังนรก ภายในระยะเวลา 1 ปี
การลงมาอยู่โลกมนุษย์ในร่างของคังพิตนา พร้อมกับผู้ช่วยอีก 2 คน ทำให้หล่อนต้องใช้ชีวิตทุกอย่างแบบที่คังพิตนาใช้ กลายเป็นผู้พิพากษาที่ทั้งสวย แปลก เฟียส ปากแซ่บ และเป็นหนี้มหาศาล 555 หลัก ๆ หล่อนต้องทำงานเป็นผู้พิพากษาตัดสินโทษคนผิดตามกฎหมายของมนุษย์ ทั้งที่หล่อนไม่เชื่อเลยสักนิดว่าความยุติธรรมมันมีอยู่บนโลกใบนี้ ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่หล่อนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลพวกฆาตกร เป้าหมายในภารกิจนี้ เพราะถ้าทำไม่สำเร็จหล่อนจะต้องตาย
ส่วนวิธีการที่หล่อนเลือกจะใช้ก็คือ ค้นหาค้นบาปที่ต้องส่งไปลงนรกจากพวกฆาตกรที่ต้องขึ้นศาล จากนั้นก็ตัดสินโทษสถานเบาที่สุด โทษที่เทียบไม่ได้เลยกับความผิดที่พวกมันก่อ เพื่อให้พ้นโทษจากเรือนจำออกมาโดยเร็ว จากนั้นก็ฆ่าทิ้งซะ โดยจำลองนรกแบบเดียวกันกับที่เหยื่อของฆาตกรพวกนี้เคยโดนให้ได้รับรู้รสชาติก่อน จากนั้นจึงส่งวิญญาณไปลงนรกด้วยการแทงและตีตราด้วยกริชที่ปั๊มตัวอักษร “เกเอนนา” แต่ถึงจะโดนลงโทษอยู่ หล่อนก็ยังคงตัดสินโทษแบบไม่ฟังอีร้าค่าอีรมเหมือนเดิม โนสนโนแคร์กับวิธีการและเป้าหมาย เรียกได้ว่ามีความโหดเหี้ยมอำมหิตผสมกับความยียวนกวนบาทาขั้นสุด ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีสำหรับ “พัคชินฮเย” ที่ได้ฉีกคาแรกเตอร์ไปจากเดิม ๆ
คนที่ทำให้โลกนี้กลายเป็นเหมือนถังขยะ ไม่ใช่พระเจ้าหรือปีศาจ แต่เป็นมนุษย์ค่ะ พวกมนุษย์ที่คุณสายสืบจับกุมมาและฉันพิพากษานั่นแหละ
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา สมัยที่เคยกลัวผีเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป มีคำสอนหนึ่งจากปากของคุณยาย ที่ปัจจุบันเสียไปนานหลายปีแล้วบอกให้ฟัง เป็นคำพูดที่ยังจำได้และใช้เตือนใจตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ และเชื่อหรือไม่ว่าจากคำสอนของคุณยายในวันนั้น เปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เคยกลัวผีให้เลิกกลัวไปเลย และด้วยความที่จิตแข็งขึ้นเยอะมาก ก็เลยไม่ (คิดเองว่า) เจออะไรเทือก ๆ นั้นอีก สิ่งที่คุณยายพูดในวันนั้นคือ “ผีเผออะไรไม่ต้องไปกลัวหรอก บนโลกใบนี้น่ะนะ ‘คนเรานี่แหละ’ น่ากลัวกว่าผีเยอะ โดน ‘ผีหลอก’ ไม่ได้น่ากลัวเท่าโดน ‘คนหลอก’ หรอกนะ”
แม้จะไม่เคยพิสูจน์ว่า ‘ผี’ มีจริงไหม (ส่วนตัวเชื่อว่ามีแหละ แต่ไม่ได้กลัว) ทว่าสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้และเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมชัดเจนมาก ๆ ก็คือ ‘มนุษย์’ คือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า “จิตใจ” ที่มันช่างลึกลับและซับซ้อน ยากแท้หยั่งถึง ยิ่งทำให้มนุษย์น่ากลัวและดูเลวร้ายเข้าไปใหญ่ จะดีหรือจะร้าย ตัดสินแค่จากภายนอกไม่ได้เลย ไอ้คำที่เขาไหนก็ไม่รู้บอกว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” เนี่ย อยากบอกว่ามันเชื่อถือได้จริง ๆ นะ เหมือนจะเป็นทั้งข้อเท็จจริงและสัจธรรมเลยล่ะ ใช้อ้างอิงได้ทั้งทางโลกและทางธรรม นั่นแหละ ตั้งแต่คุณยายสอนมา บวกกับเริ่มมีประสบการณ์เกี่ยวกับ “คน” มาอย่างโชกโชน จึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าคนน่ากลัวกว่าผีจริง ๆ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้จะป้ายยาใครต่อใครให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือตั้งแง่มีอคติกับคนอื่นไปทั่วหรอกนะ มันก็ใช้ชีวิตลำบากอยู่เหมือนกันที่ต้องหวาดระแวงไปหมด รู้สึกสนิทใจกับใครไม่ได้เลย แต่ข้อดีก็คือ เราจะกลายเป็นคนที่พอจะอ่านคนออกจากบุคลิกและพฤติกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่ตัดสินจากหน้าตาอย่างเดียว เพราะโดยทั่วไปแล้วคนเราเล่นละครตบตาคนอื่นไม่ได้ตลอดเวลา มีช่วงเวลาที่เผลอทำพฤติกรรมอะไรบางอย่างที่เป็นผลมาจากจิตใต้สำนึก ถ้าเราสังเกตเห็นได้ เราจะพอมองออกคร่าว ๆ ว่าควรคบค้าสมาคมด้วยหรือเปล่า เป็นมนุษย์ประเภทที่สนิทใจได้หรือแค่รู้จักหน้าตาชื่อแซ่ก็พอแล้ว อย่ารู้จักกันไปมากกว่านี้
ถึงจะเป็นคนที่ไม่ได้เชื่อใจใครง่าย ๆ แต่ก็เข้าใจนะว่าโลกนี้ก็คงมีคนดีอยู่บ้างแหละไม่ใช่ไม่มีเลย ถึงอย่างนั้น ส่วนตัวก็ยังเชื่อในเรื่องที่ว่าจิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดเหมือนกัน วันนี้เป็นคนดีมาก ๆ แต่ใครจะรู้ล่ะ วันข้างหน้าอาจจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความเป็นคนดีของเขาก็ได้ พูดไปก็ทำให้นึกถึงซีรีส์เรื่อง Seoul Busters เพราะมันความหมายเดียวกันกับที่คุณหัวหน้าทีมคนใหม่สอนลูกน้องในทีมเลย ว่า “คนเลวบริสุทธิ์ คนดีเป็นคนผิด มีให้เห็นเยอะแยะ” ดังนั้น จงอย่างเชื่อว่าใครจะเป็นคนดีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และอย่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนดีไปตลอด อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง เวลาเปลี่ยนจิตใจคนเราก็เปลี่ยน ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่คังพิตนาพูดน่ะถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่ สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้มันดูใจร้าย สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้มันดูเหมือนกับถังขยะใบใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความเลวทรามต่ำช้า เต็มไปด้วยอาชญากรที่ฆ่าคนกันเองได้อย่างเลือดเย็น ไร้ความรู้สึกผิด เหมือนเด็ดใบไม้ใบหญ้ามาเป่าเล่น อย่าโทษว่าเป็นฝีมือของสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างพระเจ้าหรือปีศาจเลย หันกลับมามองมนุษย์ด้วยกันเองเถอะ มนุษย์แบบที่ฮันดาอนจับเข้าคุกและคังพิตนาพิพากษาให้ได้รับโทษจนล้นคุกไปหมดนั่นแหละ อ้อ! มนุษย์ที่เป็นตำรวจเป็นพระเอก และมนุษย์ที่เป็นผู้พิพากษาแบบนางเอก ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีด้วยนะ อย่าเข้าใจผิด! คนเลวเป็นได้ทุกอาชีพ แม้แต่อาชีพที่ไม่ควรจะมีคนเลว
ถึงนรกหลังความตายจะน่ากลัว แต่ก็ไม่ทรมานเท่านรกที่ต้องเผชิญตอนมีชีวิตอยู่หรอก สถานที่ที่พวกคุณอาศัยอยู่ตอนนี้นี่แหละ คือขุมนรกของจริงที่เต็มไปด้วยมนุษย์ที่ชั่วร้ายราวกับปีศาจ
ยอมใจคนเขียนบทเรื่องนี้นะ ถึงจะเขียนออกมาเป็นแนวแฟนตาซี แต่ก็ยังใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงไปจนทำให้รู้สึกได้ว่านรกบนดินเนี่ยแหละมีอยู่จริง แบบไม่ต้องสรรหาพิสูจน์เลยว่าคนดีตายแล้วไปสวรรค์จริงไหม คนชั่วตายแล้วลงนรกใช่เหรอ โลกหลังความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ขึ้นสวรรค์มีความสุข ลงนรกแล้วทุกข์ทรมาน คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาบอก หรือต่อให้กลับมาบอกแต่ถ้าไม่ได้เห็นเองกับตาก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่นรกที่เผชิญตอนมีชีวิตอยู่นี่แหละของจริง
ความทุกข์ทรมานทั้งหลายที่ต้องเผชิญตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เปรียบได้กับการตกนรกทั้งเป็น ซึ่งมีมนุษย์บางจำพวกที่ไม่ต่างจากปีศาจ ชอบสร้างบาดแผลในใจคนอื่น เปรียบได้กับสร้างนรกเพื่อขังให้คนผู้นั้นอยู่ ความเลวบริสุทธิ์ก็ทำให้ปีศาจพวกนี้ไม่มีจิตสำนึกที่จะรู้ตัวว่าตนเองก็กำลังอยู่ในนรก อยู่ในวังวนของความเจ็บปวดและความเคียดแค้นของคนอื่น หรือแท้จริงแล้ว การที่ปีศาจในร่างมนุษย์พวกนี้มีความสุขกับการสร้างนรกขังคนอื่นอื่น ก็เพียงแค่ความต้องการที่จะหนีให้พ้นจากนรกในใจของตัวเอง
เพราะสังเกตไหมว่าฆาตกรที่ถูกจัสติเซียพิพากษาในระหว่างที่อยู่ในร่างของคังพิตนา จะต้องเคยมีปมบางอย่างที่เป็นความไม่สมบูรณ์ในชีวิต แต่ดันเลือกที่จะก้าวข้ามปมด้อยเหล่านั้นด้วยวิธีผิด ๆ ทำผิดซ้ำ ๆ จนต่อมจิตสำนึกในสมองไม่ทำงาน จนกลายเป็นคนที่แยกแยะถูกผิดไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ในส่วนของต่อมสำนึกผิด เหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด อะไรแบบนั้น นี่ไม่ได้พยายามจะฟอกขาวความเลวร้ายให้กับคนพวกนี้นะ แต่พยายามจะอธิบายในมุมมองของวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ที่เชื่อว่าไม่มีคนดี ๆ ที่ไหนที่จะลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงหรือฆ่าคนตายโดยไม่มีเหตุผลรองรับอยู่แล้ว แต่ถ้าจะไม่มีเหตุผลจริงก็คงเป็นพวกที่เลวโดยสันดาน
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของจัสติเซียเองก็เป็นเรื่องที่ตลกร้ายเหมือนกัน เพราะนางเองก็ใช้แต่อำนาจที่มีในการตัดสินโทษผู้อื่นโดยที่ปราศจากความยุติธรรม ทั้งที่ชื่อของนางมีความหมายว่ายุติธรรมแท้ ๆ เพราะถ้านางตัดสินโทษด้วยความยุติธรรมจริง ๆ เลือกที่จะฟังในสิ่งที่ผู้อื่นบอก นางก็คงไม่โดนทำโทษให้ลงไปอยู่โลกมนุษย์หรอก นางเหยียดทั้งมนุษย์และเหยียดแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ในนรก ไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง แถมยังอคติว่าตัวเองไม่ได้มีหน้าที่มาฟังคำพูดไร้สาระของคนที่มาโวยวายในศาลว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะฉะนั้นแล้ว ภารกิจที่บาเองส่งจัสติเซียลงมาโลกมนุษย์ จะต้องมีความหมายที่จะเปลี่ยนแปลงความอวดดีของจัสติเซียแน่นอน
แค่มีเลือดไหลเวียนก็แปลว่ามีชีวิตอยู่เหรอ จิตใจเธอแหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ไม่มีความกล้าหรือความหวังที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว แค่หายใจจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่ได้เหรอ
ก็นะ ถึงจัสติเซียในร่างของคังพิตนาจะเฟียส จะอวดดี จะเหี้ยมโหดเลือดเย็นแค่ไหน แต่ก็ขอบคุณที่นางไม่ได้ปล่อยให้เหยื่อของฆาตกรพวกนั้นหมดลมหายใจไปจริง ๆ ทีแรกเลย คิดว่านางจะโนสนโนแคร์ชีวิตคนบริสุทธิ์ถึงขั้นที่ปล่อยให้ฆาตกรได้ลงมือฆ่าให้จบโดยสมบูรณ์ หรือเหยื่อโดนคุกคามจนเลือกที่จะไม่ทนและฆ่าตัวตายสำเร็จเองเสียอีกนะ จริง ๆ แอบขัดใจกับเคสแรกที่นางผ่อนปรนขั้นสุด ตัดสินโทษปรับซึ่งเป็นโทษสถานเบาที่สุด ให้กับจำเลยคดีทำร้ายร่างกาย ใช้ความรุนแรง และข่มขู่แฟนสาว ถึงจะรู้ว่ามันเป็นขั้นตอนของนางที่ต้องทำให้จำเลยพ้นจากเรือนจำก่อนถึงจะเข้าถึงตัวได้ รวมถึงการที่เหยื่อต้องตายหรือเปล่าถึงจะเรียกผู้กระทำผิดว่าเป็นฆาตกรได้ แต่ก็ขัดใจจริง ๆ
แต่ท้ายที่สุด ก็รู้ว่านางไม่ได้ใจดำขนาดนั้น นางรอให้เหยื่ออาชญากรรมตายก่อนก็จริงถึงจะเรียกอาชญากรว่าฆาตกรได้ แต่ “ตายแล้วสินะ” ในความหมายของนาง คือการที่จิตใจของเหยื่อแหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ จนไม่มีความกล้า ไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่จนคิดฆ่าตัวตาย มันก็มากเกินพอแล้ว ยังดีที่นางสำนึกได้ว่าถ้าตัดสินความเป็นความตายตามมาตรฐานของมนุษย์ นางก็คงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาที่โลกมนุษย์นี่หรอก ภารกิจของนางคือจัดการคนชั่วกลับสู่ปรโลก และขัดขวางไม่ให้ฆาตกรพวกนั้นได้ชีวิตของเหยื่อไปจริง ๆ ยังดีที่นางยังให้โอกาสเหยื่อได้มีชีวิตอยู่ต่อ บนโลกที่ไม่มีคนที่ทำให้ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป หลุดพ้นจากความกลัวโดยสมบูรณ์
จริง ๆ ก็แอบกังวลเหมือนกันนะก่อนที่จะตัดสินใจเปิดดูซีรีส์เรื่องนี้ แบบว่านางเอกมีภารกิจที่จะต้องพรากชีวิตของฆาตกร 10 คน (ตอนนี้เพิ่มเป็น 20 ละ) แล้วสำเร็จโทษด้วยการส่งไปลงนรก แล้วในกรณีที่เหยื่อยังไม่ตายล่ะ จะเรียกผู้กระทำผิดว่าฆาตกรได้เหรอ จะลากกลับไปลงนรกได้ไหมแบบนั้น หรือต้องรอให้เหยื่อตายก่อนจริง ๆ ซึ่งนั่นก็แปลว่าซีรีส์เรื่องนี้จะโหดร้ายไม่เบาเลยนะ แบบเคสแรกของเรื่องนั่นแหละที่เหยื่อเกือบตายจริงเพราะนางปล่อยผู้กระทำผิดออกมา ถึงรู้ว่านางจะตามมาจัดการแต่จะจัดการตอนที่ฆ่าเหยื่อเรียบร้อยแล้วงั้นหรือ
ซึ่งก็โอเคนะที่สุดท้ายนางแค่ใช้เกณฑ์ “ตายทั้งเป็น” เหยื่อได้ตายไปแล้วตั้งแต่วันที่ถูกย่ำยี ต่อให้ยังหายใจอยู่ก็ตาม! ความผิดฐานฆาตกรรมได้สำเร็จลงแล้ว จากการที่ทำความผิดต่อเหยื่อแบบไม่สำนึก ทำลายชีวิตของเหยื่อจนไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว นั่นแหละ จึงสมควรแล้วที่ต้องรับโทษในฐานที่เป็นฆาตกร จัสติเซียจึงตามไปพิพากษาฆาตกรรายนี้ทันทีที่โอกาสอำนวย
The Judge From Hell เป็นซีรีส์ไม่กี่เรื่องของปีนี้ที่คาดหวังไว้ค่อนข้างสูงตั้งแต่รู้ข่าวว่าจะสร้าง ทั้งเรื่องของพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ และชื่นชอบนักแสดง “พัคชินฮเย” เป็นพิเศษ ติดตามมาตั้งแต่ยังเป็นสาว (หนุ่ม) น้อยโกมีนัมในเรื่อง You’re Beautiful จนปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 ไปแล้ว บอกเลยว่าจัดรวด 3 ตอนจนตาแฉะ ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ และชอบคาแรกเตอร์แสบ ๆ ซน ๆ ยียวนกวนโอ๊ยแบบนี้ของนางมาก ดูฉีกและแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ไปเลย แถมเคมีกับพระเอกที่ตอนแรกคิดว่าน่าจะต้องมโน loveline เอาเอง ตอนนี้กลับมีกลิ่นหึ่ง ๆ ละว่าปีศาจจะตกหลุมรักตำรวจผู้แสนดีและอ่อนโยน คิดว่าน่าจะมีดราม่านิดหน่อยแน่ ๆ ที่นางต้องเลือกระหว่างหัวใจและภารกิจ