“สุรา-ยาสูบ” ภาษีขึ้นมีผลไหม รู้ว่าไม่ดีก็เลิกเหอะ!

ภาพจาก Pixabay

การปรับขึ้นอัตราภาษีสุราและยาสูบ ตามที่พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต 2560 ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้สินค้า จำพวก สุรา เบียร์ และบุหรี่  ต้องปรับราคาขึ้นตามไปด้วย  โดยส่งผลให้มีราคาปรับเปลี่ยนดังนี้

-เหล้าขาว                          ภาษีเพิ่มขึ้น 0.84-3.49 บาท/ขวด

-สุรากลั่น/สุราสีผลิตในประเทศ  ภาษีเพิ่มขึ้น 8-30 บาท/ขวด

-เบียร์ราคาถูก                      ภาษีเพิ่มขึ้น 0.50-2.66 บาท/ขวด

-ไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ       ภาษีเพิ่มขึ้น 110 บาทขึ้นไป

-บุหรี่ราคาต่ำกว่า 60 บาท        ภาษีเพิ่มขึ้น 4-15 บาท/ซอง

-บุหรี่ราคาเกิน 60 บาท           ภาษีเพิ่มขึ้น 2-14 บาท/ซอง

อย่างไรก็ตาม  มีสินค้าบางส่วนที่อัตราภาษีปรับลดลงเช่นกัน ได้แก่ สุรากลั่นหรือสุราสีนำเข้าจากต่างประเทศ  ภาษีลดลง 3-26 บาท/ขวด, เบียร์ราคาแพง ภาษีลดลง 0.99-2.05 บาท/ขวด, ไวน์ผลิตในประเทศราคาไม่เกิน 1,000 บาท  ภาษีลดลง 25 บาท/ขวด

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาจากผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตด้วยว่าเป็นเพราะรัฐบาลเริ่มเงินหมดแล้วหรือไม่ จึงผลักภาระให้ประชาชนต้องรับผิดชอบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเรื่องนี้ว่า การปรับขึ้นภาษีใหม่ไม่ได้หวังจะขูดรีดใคร แต่เพื่อสกัดหน้าใหม่ที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวกับสินค้าเหล่านี้เท่านั้น เพราะคนที่ดื่มเหล้าเบียร์หรือสูบบุหรี่ก็คงยังซื้อกันอยู่ดี

ทั้งนี้ จากการสำรวจความเห็น “นิด้าโพล” โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขึ้นราคาภาษีสุรา ยาสูบ แต่ไม่เชื่อว่าจะช่วยลดปริมาณผู้บริโภคลงได้ และมองว่าจะส่งผลให้มีสินค้าหนีเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อันที่จริง ทุกคนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงบุหรี่ล้วนไม่ดีต่อสุขภาพ แต่หลายคนก็ยังเลิกไม่ได้ หรือไม่มีแรงจูงใจในการเลิก แต่อย่างน้อยก็อย่าลืมว่าพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงบุหรี่ ไม่ได้ส่งผลเสียเฉพาะกับตัวเองเท่านั้น

เพราะหากดื่มสุราจนเมามายขาดสติก็อาจก่อให้เกิดเหตุวิวาท หรือการทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ล่วงละเมิดทางเพศ หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตทั้งแก่ตนเองแลผู้อื่นได้

ส่วนบุหรี่ที่สูบกันก็ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเฉพาะแค่คนสูบเท่านั้น เพราะจากสถิติก็มีให้เห็นกันแล้วว่า คนที่ไม่ได้สูบต้องเสียชีวิตจาก “ควันบุหรี่มือสอง” ทั้งที่ไม่สูบเองเป็นจำนวนมากเกือบ 9แสนคนทั่วโลก

และที่น่ากลัวไปยิ่งกว่านั้น คือการเป็นเหยื่อจาก “ควันบุหรี่มือสาม” โดยไม่รู้ตัว จากการที่อนุภาคควันบุหรี่ของผู้สูบบุหรี่มือหนึ่งตกค้างอยู่ตามผิวหนัง เสื้อผ้า  เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่างๆ จึงทำให้ผู้ที่อยู่สภาวะแวดล้อมเหล่านั้นได้รับผลกระทบไปด้วย  และทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาไม่ต่างจากผู้สูบบุหรี่

ทั้งนี้ ผลการศึกษาล่าสุดที่ติดตามผลนาน 6 เดือน โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา พบว่าหนูทดลองที่สัมผัสกับเสื้อผ้าที่มีควันบุหรี่ ได้รับผลกระทบทั้งเรื่องระดับฮอร์โมนความเครียด “คอร์ติซอล” ที่เพิ่มมากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ อีกทั้งยังส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด และระดับอินซูลิน ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานด้วย

แม้ว่าเรื่องนี้ยังต้องได้รับการพิสูจน์ว่ามนุษย์จะได้รับผลกระทบแบบเดียวกันหรือไม่ นอกเหนือจากเรื่องระบบหายใจที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ระบุว่าอันตรายของบุหรี่มือสามไม่ได้ต่างไปจากบุหรี่มือสองหรือบุหรี่มือหนึ่งแต่อย่างใด

หากรู้โทษภัยของสิ่งเหล่านี้กันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสนว่าการปรับภาษีขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของตัวเองอย่างไร แค่คิดว่าจะส่งผลต่อคนที่รักของเราอย่างไร ก็น่าจะเป็นแรงจูงใจให้คิดอยากเลิกกันได้แล้ว