แนวโน้มของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปี 2024

ประเด็นแนวโน้มของเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2024 จากงาน CES (Contomer Electronics Show) 2024 ที่เพิ่งผ่านไป ระบุว่าในปีนี้ AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ที่เป็นจุดขายในวงการเทคโนโลยี เนื่องจากกระแสของ AI ที่กำลังมาแรง และยังคงมีการพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา

หรือแม้แต่รายงานแนวโน้มของเทคโนโลยีประจำปี 2024 ของการ์ทเนอร์ (Gartner) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงให้ข้อสังเกตไปในทิศทางเดียวกัน ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะยังเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในวงการเทคโนโลยี เราจะยังคงเห็นภาพว่า AI จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคมไปสู่อนาคต อนาคตของตลาดดิจิทัลต่อจากนี้ จะสามารถใช้ทิศทางการพัฒนาเครื่องมือ AI และความก้าวหน้าของ AI มาเป็นประเด็นในการพิจารณาได้

ในเมื่อ AI จะยังคงมีอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยี การขับเคลื่อนธุรกิจ และการขับเคลื่อนสังคมไปสู่อนาคต การรู้ถึงแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยี AI จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการปรับตัวเพื่อเปิดรับทักษะใหม่ ๆ และมีมุมมองที่เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยให้เราอยู่รอดทั้งจากเทคโนโลยีที่อาจมาแทนที่ในตำแหน่งงานของเรา และโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ

1. Generative AI จะเข้าถึงได้ง่ายและใช้งานกันแพร่หลายมากขึ้น

หากยังจำกันได้ ในช่วงปี 2022-2023 ที่ผ่านมา Generative AI เป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นและได้รับความสนใจจากผู้คนในหลากหลายวงการ โดยเฉพาะตัว ChatGPT ของบริษัท OpenAI ซึ่งเป็นโปรแกรมแชตบอต AI ที่ถูกพัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านการสนทนา การสื่อสารผ่านข้อความกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ChatGPT จึงทำหน้าที่ตอบคำถามที่ผู้คนป้อนถามหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ผู้คนร้องขอ ได้ราวกับกำลังนั่งคุยอยู่กับมนุษย์จริง ๆ ChatGPT จึงถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการเขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนเพลง แก้โจทย์คณิตศาสตร์ และแปลเอกสาร

หรือตัว Midjourney โปรแกรมวาดรูปโดย AI ที่เราเพียงป้อนคำสั่งเข้าไปเท่านั้น AI ก็จะเนรมิตรูปภาพในแบบที่เราต้องการออกมาภายในเวลาไม่กี่นาที โดย Midjourney เองก็เป็น Generative AI ที่เคยมีประเด็นกันมาก่อนหน้านี้ในแวดวงของศิลปินผู้สร้างงานศิลปะ ในเมื่อใครก็ได้สามารถรังสรรค์ภาพวาดสวย ๆ เพียงการป้อนคำสั่งด้วยคีย์เวิร์ด แต่ในขณะเดียวกัน ศิลปินยังคงต้องวาดภาพด้วยตัวเอง จากสองมือและทักษะด้านศิลปะของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ Midjourney ก็ยังมีการใช้งานอยู่เรื่อยมา

จึงมีการคาดการณ์แนวโน้มว่าในปี 2024 นี้ Generative AI จะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากกว่าที่เคย จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีทองของ Generative AI เลยก็ว่าได้ การเปิดใช้งานแบบ Open source จะยิ่งทำให้ Generative AI เข้าถึงได้ทั่วโลก

และยังมีการคาดการณ์อีกว่า ภายในปี 2026 องค์กรต่าง ๆ มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะมีการนำเอาแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งาน Generative AI มาประยุกต์ใช้งานด้วย นอกจากนี้ Generative AI รุ่นต่อไปจะถูกพัฒนาให้สร้างคอนเทนต์ได้มากกว่าแค่ข้อความและรูปภาพ จะมีความสามารถในการประมวลผลและผสานข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและใช้งานได้ง่ายกับทุกวงการ

2. การกำกับดูแลการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม

ต้องยอมรับ AI อาจเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกเลยก็ว่าได้ และเนื่องจาก AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ด้วยกันอย่างเรา ๆ พัฒนาขึ้นมา เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์โลกมากขึ้นทุกวัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของ AI อย่างไม่หยุดยั้ง จึงนำมาซึ่ง “ความท้าทายใหม่” ในประเด็นด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ทักษะ และช่องว่างในขีดความสามารถทางการแข่งขัน การใช้งาน AI ในทางที่ผิด การใช้งาน AI อย่างไม่ระมัดระวัง จนอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของอคติของข้อมูล ความไม่โปร่งใส หรือโอกาสที่จะนำมาใช้แทนคนได้

ดังนั้น ในประเด็นของการกำกับดูแลการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำงานของซอฟต์แวร์ AI เป็นไปตามมาตรฐานของศีลธรรมและกฎหมาย เป็นเรื่องจำเป็นที่การใช้ AI ควรมีกฎหมายหรือกฎระเบียบเข้ามากำกับดูแลเพื่อไม่ให้เกินขอบเขตและเป็นภัยกับมนุษย์ ทั้งในส่วนของการพัฒนา AI ที่ยั่งยืน และ AI ที่เป็นมิตรกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังหาวิธีที่เหมาะสมในการกำหนดกรอบการกำกับดูแลเพื่อควบคุมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาเทคโนโลยีจนไปต่อไม่ได้มากจนเกินไป

3. ส่งเสริมการทำงานร่วมกับ AI และการพัฒนาทักษะของคนทำงานในยุค AI 

อีกประเด็นที่เคยมีความตื่นตัวกันมาก่อนหน้านี้ ก็คือประเด็นเรื่องการมาของ AI อาจทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นคนตกงาน รวมถึงประเด็นที่ว่าความอัจฉริยะของ AI ที่ทำได้แทบทุกอย่าง และไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาในการทำงานและอารมณ์ความรู้สึก ต่างจากแรงงานคน จึงเป็นที่กังวลกันอยู่ไม่น้อยว่า AI จะเข้ามาแย่งงานคน

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในยุค AI ครองเมืองเช่นนี้ หลายองค์กรมีแนวคิดที่จะนำเอา AI เข้ามาปรับใช้ในองค์กร โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วิเคราะห์ว่า AI มีผลกระทบกับงานเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก ขนาดบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายยังเริ่มมีการปลดบุคลากรในบางตำแหน่งออกเพื่อนำเอา AI เข้ามาใช้งานแทน รวมถึงเริ่มมีการใช้งาน AI เป็นเครื่องมือช่วยเสริมในการทำงานกับหลากหลายอาชีพมากยิ่งขึ้น

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ใครที่มีความสามารถในการใช้งาน AI ก็จะไปได้ไกลและมีโอกาสเป็นผู้รอด ในขณะเดียวกัน ใครที่ใช้ไม่เป็นก็จะตกขบวน และอาจเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ต้องถูกปลดออกจากองค์กรด้วย ดังนั้น การเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองด้วยการพัฒนาทักษะการทำงานอย่างรอบด้าน และทำให้ตนเองคือคนหนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ หรือก็คือใช้ AI เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดและเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงานให้เป็น จึงเป็นเรื่องสำคัญในการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในยุค AI

เพราะถ้าคนทำงานเข้าใจว่า AI สามารถช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วได้ขึ้นอย่างไร และเข้าใจวิธีการทำงานของ AI มันจะกลายเป็นทักษะที่โดดเด่นของตัวเราเอง ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ และใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเอง

4. การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Low-Code และ No-Code

สืบเนื่องมาจากการเติบโตของ Generative AI ที่ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Low-Code และ No-Code เป็นไปได้ง่ายขึ้น กล่าวคือ Generative AI สามารถเป็นผู้ช่วยในการเขียนโปรแกรม รวมถึงการออกแบบซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้แบบอัตโนมัติ แนวโน้มที่เกิดขึ้นก็คือ การพัฒนาโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมมากขนาดนั้น แค่ใช้ Generative AI ให้เป็นก็พอ

ต่างจากก่อนหน้านี้ ที่กลุ่มคนที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ จำเป็นต้องเป็นพวกโปรแกรมเมอร์ที่มีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม ซึ่งเป็นทักษะอาชีพแบบเฉพาะทาง ด้วยการเขียนโค้ดโปรแกรมเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป แต่การมาของ Generative AI จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วไปสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโค้มโปรแกรมระดับโปรแกรมเมอร์ ตรงส่วนนี้จะเป็นข้อดีทำให้ในระดับองค์กรและในระดับประเทศ สามารถเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมดิจิทัลได้ง่ายขึ้น

5. AI สำหรับแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์บนมือถือ

แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าจับตามองเกี่ยวกับประเด็นของ AI จากงาน CES 2024 มีการคาดการณ์ว่าสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์พีซีมากกว่า 230 ล้านเครื่องที่จะวางขายในสหรัฐอเมริกาในปีนี้ จะเพิ่มฟีเจอร์ Generative AI ในแอปพลิเคชันมือถือ เบราว์เซอร์ และซอฟต์แวร์ และจะขยายไปถึงกลุ่มสมาร์ตวอชและสมาร์ตทีวีด้วย โดยถูกนำไปใช้ในระบบความปลอดภัยในการเคลื่อนไหว และเป็นแอปฯ ติดตามการออกกำลังกายบนสมาร์ตวอช ส่วนกับสมาร์ตทีวี จะนำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพของภาพบนจอโทรทัศน์

หรือล่าสุด อย่างที่หลาย ๆ คนน่าจะได้เห็นกันแล้ว ว่าโทรศัพท์มือถือแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งทางฝั่งแอนดรอยด์ ได้เปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่ม AI เข้าไปเป็นฟีเจอร์การใช้งานหลักในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่น ๆ มาติดตั้งเพิ่ม เพื่อชูความเป็นสมาร์ตโฟนยุคใหม่

หมายความว่าในปีนี้ เราจะเริ่มเห็นสมาร์ตโฟนที่มีแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ AI ฝังอยู่ภายในมากขึ้น จนอาจกลายเป็นนวัตกรรมปกติของโทรศัพท์มือถือในรุ่นต่อไปเลยก็เป็นได้ จะเห็นว่าการใช้ AI บนแอปพลิเคชันกำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน และในอนาคตอีกไม่นานต่อจากนี้ เทคโนโลยี AI ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์เราอย่างมีนัยสำคัญนั่นเอง