Everest Titanium+ กลับมาขับฟอร์ดในรอบ 5 ปี

นับจากตัดใจขายรถ “ฟอร์ด โฟกัส” สีแดงคันโปรดไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ล่าสุดผมมีโอกาสได้กลับมาควบคุมพวงมาลัยรถยนต์แบรนด์ดังจากสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับรูปโฉมที่บึกบึน ดุดัน แต่อยู่ภายใต้ความสะดวกสบายและความนุ่มนวลในการขับขี่ นั่นก็คือ ฟอร์ด รุ่น Everest Titanium+ 4×4 2.0 Bi-Turbo ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากฟอร์ด ประเทศไทย ให้นำรถมาทดลองขับในรายการ World of Speed (PPTV) ที่ผมรับผิดชอบอยู่ครับ

เอ่ยถึงแบรนด์รถยี่ห้อนี้ ต้องบอกว่าเป็นรถยี่ห้อแรกที่ผมควักเงินซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นสะดุดตากับรูปโฉมของฟอร์ด โฟกัส ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ๆ และเพียงแค่ไปทดลองขับที่โชว์รูมครั้งแรก ก็ตัดสินใจจองในทันที่ เหตุผลคือช่วงล่างที่นุ่มหนึบ พวงมาลัยที่แม่นยำและมั่นคง ที่แตกต่างจากรถในระดับเดียวกันของค่ายอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิงครับ

มาล่าสุด ผมมีโอกาสได้ขับใช้งาน ฟอร์ด Everest รุ่นท็อปอยู่เป็นเวลาราว 1 สัปดาห์ บอกก่อนว่าก่อนจะไปรับรถมาขับ ผมเองชื่นชอบรูปโฉมของ Everest เจนใหม่นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บางทีมันเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้ แต่ที่พอบอกได้ คือ ด้วยความเป็นแบรนด์อเมริกัน บวกกับความดุดันและความใหญ่ของมิติตัวรถ นั่นคือสิ่งที่ผมปันใจไปให้ตั้งแต่แรกแล้ว

หากเทียบกันตามมิติของตัวรถ นี่คือรถที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม PPV ซึ่งเมื่อได้ขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยครั้งแรก สิ่งที่เลิฟเลยคือ กระจกมองข้างที่ใหญ่มากกกก คือเทียบกับหน้าของผมที่ว่าใหญ่แล้ว กระจกมองข้างของ Everest ใหญ่กว่าครับ (ฮา ๆ) และเมื่อได้ลองขยับพวงมาลัย ไม่น่าเชื่อว่าพวงมาลัยไฟฟ้าจะช่วยผ่อนแรงจากล้ออัลลอย 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/55 R20 ให้เบาเหมือนขับรถเก๋งล้อเล็ก ๆ เลย

ส่วนสมรรถนะและการขับขี่ภายใต้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ 2 ตัว Bi-Turbocharged พร้อม Intercooler ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที ที่สำคัญทำงานร่วมกับ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด! อ่านไม่ผิดแน่นอนครับ รถคันนี้มีทั้งหมดหมด 10 เกียร์ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีฟังก์ชัน Drive Modes ให้เลือกปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

ซึ่งการที่ระบบส่งกำลังมีมาให้ถึง 10 เกียร์ ทำให้พละกำลังมาแบบนุ่มนวลไม่กระโชกโฮกฮาก การจะเร่งความเร็ว เพียงแค่เติมคันเร่งเข้าไปก็เรียกพละกำลังได้แล้ว ซึ่งในจังหวะแซง บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องคิกดาวน์ให้เปลืองน้ำมันเลยครับ ส่วนช่วงล่างรับรู้ได้เลยว่านุ่นนวลไม่แข็งกระด้างเหมือนฟอร์ดในยุคก่อนที่ผมเคยได้ขับมา ถือเป็นรถ PPV คันใหญ่ ขับสนุกและไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใดครับ

นอกจากนี้ ออปชันต่าง ๆ ก็ใส่มาแบบจัดเต็ม ทั้งระบบความปลอดภัย ระบบช่วยเตือนต่าง ๆ มีหลังคาพาโนรามิก ซันรูฟบานใหญ่ มีระบบช่วยจอด และอีกจุดที่ผมชอบคือ ชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่สามารถปรับลำแสงได้อัตโนมัติ โดยจะมีเซนเซอร์ตรวจจับความสว่างของแสงรอบตัวรถ หมดปัญหาไฟแยงตาคันอื่น รวมถึงมีไฟที่ปรับองศาไปตามพวงมาลัยด้วย

ส่วนอัตราการซดน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากที่ผมได้ทดลองขับตลอด 1 สัปดาห์ ทั้งการใช้คันเร่งแบบปกติ รวมถึงมีจังหวะกดคันเร่งแบบคิกดาวน์บ้าง ตัวเลขสิ้นเปลืองอยู่ที่ราว 11 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับรถ PPV ในกลุ่มเดียวกัน ขณะที่ราคาของรุ่น Titanium+ 4×4 ที่ผมนำมาทดลอง อัปเดตปี 2024 อยู่ที่ 1,897,000 บาท

ราคาที่ว่ามาเป็นราคารุ่นท็อปนะครับ หากไม่นับรุ่น Wildtrak ที่จะมีชุดแต่งเพิ่มเข้ามาและแพงกว่ารุ่นนี้ 25,000 บาท โดยรวมผมมองว่าเป็นรถที่สมราคา ทั้งสมรรถนะ ออปชันครบ ช่วงล่างดี ขึ้นไปขับแล้วแทบจะไม่รู้สึกว่าขับ PPV อยู่ด้วยซ้ำไป แต่หากใครสนใจควรไปทดลองขับด้วยตัวเองก่อน คุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ เพราะฟิลลิ่งในการขับขี่นั้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนครับ