รออัศวินขี่ม้าขาว

ภาพจาก Pixabay

ช่วงนี้ผมเจอหน้าใครถ้าคุยไปถึงเรื่องธุรกิจค้าขายหรือเงินๆทองๆก็ไม่แคล้วมีเสียงรำพึงรำพันออกมาว่าเงียบเหงาเศรษฐกิจที่คาดหวังกันไว้ว่าจะฟื้นยังไม่ฟื้นจริง

แม้ตัวเลขที่ทางรัฐบาลเผยออกมาว่าดีขึ้นก็คงเพราะได้อานิสงส์จากการส่งออกการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และทำธุรกิจในบ้านเราแต่คนไทยเองกลับยังไม่กล้าใช้เงินสักเท่าไหร่

เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ “ห้างร้าง” ไร้คนเดินอยู่หลายวันผมเข้าไปถึงกับตกใจว่านี่มันห้างสรรพสินค้าหรือป่าช้า

หากจะเอาดัชนีพระเครื่องมาวัด เพื่อนผมที่สันทัดเรื่องนี้ บ่นให้ฟังว่าตอนนี้ตลาดพระเงียบเหงาเหลือเกิน ไม่ว่าที่พันธุ์ทิพย์ หรือพาราไดส์ พาร์ค จำนวนแผงลดลงกว่าครึ่ง ราคาพระไม่ต้องพูดถึง สองปีหลังมานี่ตกอย่างเดียว

ขนาดพระยังแย่โยมอย่างเราจะเอาอยู่หรือ?

พอจะสรุปสถานการณ์ได้ว่าตอนนี้ประชาชนใช้เงินซื้อแต่ของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตจริงๆเครื่องประดับหรือของสินค้าฟุ่มเฟือยพากันแตะเบรกชะลอไว้ก่อน

“คนมีเงินไม่กล้าใช้เงินเงินก็เลยไม่ต่อเงิน”

ส่วนคนไม่มีเงินตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง “กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง” อย่างเดียวเท่านั้น

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่

คนที่หวังว่าจะมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างคุณอาว์ “สมคิดจาตุศรีพิทักษ์” ตอนนี้เราไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าท่านก็เลยไม่รู้จะฝากความหวังไว้ที่ใครแล้ว

หากปลายปีนี้หรือต้นปีหน้ายังไม่ฟื้นอีกจะเกิดอาการเรื้อรังเศรษฐกิจตกต่ำถึงขั้นเกิดโรค “เงินฝืด” หรือไม่ไม่กล้าทำนายเพราะไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์

ตอนนี้ได้แต่ออกแนวเพ้อฝันรอวันว่าจะมี “อัศวินขี่ม้าขาว” มาช่วยพลิกฟื้นให้เมืองไทยของเรากลับมาโชติช่วงชัชวาลอีกครั้ง.