สัปดาห์ที่แล้ว เพิ่งจะเขียนถึงเรื่องการควบรวมระหว่างทัวร์นาเมนต์กอล์ฟเจ้าใหญ่อย่าง PGA Tour ที่ตกลงปลงใจ Collaborate ร่วมกับทัวร์นาเมนต์กอล์ฟทุนหนาจากซาอุฯ อย่าง LIV Golf ปรากฏว่าอีกสองวันหลังจากที่คอลัมน์ชิ้นดังกล่าวได้เผยแพร่ในสื่อ Tonkit360 ก็มีข่าวน่าสนใจออกมาจากสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่อย่าง Netflix ที่ประกาศจะลงสู่สนาม Live Sports หรือการถ่ายทอดสดกีฬา ทั้งที่ในยุคเริ่มต้นเป็นที่รู้จักนั้น ผู้บริหาร Netflix พูดเสมอว่าไม่คิดว่าจะลงสู่สนาม Live Sports จนกว่าจะเห็นช่องทางที่สามารถทำกำไรได้
ซึ่งการออกข่าวเรียกน้ำย่อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่าปลุกให้ตลาดซื้อขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาได้กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่เงียบเหงามานานกว่าสามปีจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่นับรวมกับในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่ทั้งโลกต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้การซื้อขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดถูกปรับราคาขึ้น และ ทำให้เหล่าผู้ซื้อทั้งโอเปอร์เรเตอร์เจ้าใหญ่ หรือแอปฯ สตรีมมิ่งที่เกี่ยวกับกีฬาโดยเฉพาะ ต้องเลือกเฉพาะตัวที่จะทำให้เกิดกำไรและมีคนดูจริง ๆ
กลับมาที่ Netflix กับการลงสู่สนาม Live Sports ที่ก่อนหน้านี้ชิมลางด้วยการทำ Docuseries อันโด่งดังอย่าง Drive to Survive จนทำให้จำนวนผู้ชมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งเพิ่มขึ้น และในช่วงปลายปีที่แล้ว มีกระแสข่าวออกมาว่า Netflix เองก็เข้าร่วมการประมูลซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรถสูตรหนึ่งสู้กับ ESPN และ NBC แต่ท้ายที่สุด ESPN ยังคงได้ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดต่อไป แต่ดูเหมือน Netflix ยังไม่ถอดใจ เพราะมีกระแสข่าวออกมาว่าสตรีมมิ่งเจ้ายักษ์เตรียมประมูลสู้ลิขสิทธิ์การแข่งขันเทนนิสในเอทีพีและดับเบิลยูทีเอ รวมไปถึงการแข่งขันจักรยานทางไกลรายการระดับเมเจอร์
ซึ่งกระแสข่าวการประมูลนั้นยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก หากแต่การลงสู่สนาม Live Sports ที่น่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ มีรายงานว่าจะเป็นการแข่งขันกอล์ฟที่เป็นแข่งขันของเหล่าเซเลบริตี้ โดยจะมีนักกอล์ฟอาชีพและนักขับจากรถสูตรหนึ่งเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งน่าจะเป็นการถ่ายทอดสดกีฬาที่ดึงดูดแฟนกีฬาได้ไม่น้อย และจะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นศักยภาพของสตรีมมิ่งเจ้ายักษ์รายนี้กับการผลิตเนื้อหาประเภทถ่ายทอดสดกีฬา
เอาเข้าจริงการที่ Netflix ลงสู่สนามถ่ายทอดสดกีฬา เหมือนจะเป็นการตอกย้ำดั่งเช่นที่ผู้เขียนเขียนเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึง Content ที่มีอายุการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ของผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง เพราะเนื้อหาของภาพยนตร์และซีรีส์นั้นมีช่วงเวลาอยู่ในตัวเอง ในขณะที่ Content กีฬาไม่ว่าจะเป็นถ่ายทอดสดหรือ Docuseries จะอยู่บนชั้นขายของได้นานกว่า บางอย่างก็แทบจะไม่มีวันหมดอายุ เพราะกีฬาเป็นเรื่องของการสร้างสถิติ ตำนานของผู้เล่น และผลการแข่งขัน
เมื่อห้าปีก่อนในช่วงเวลาที่ Netflix กำลังได้รับความนิยมสูงสุด คู่แข่งของ Netflix ที่ชัดเจนมากนอกจาก Disney+ แล้วก็มี Amazon Prime ในส่วนของ Disney+ นั้นไม่มีถ่ายทอดสดแต่มีรายการกีฬาบนแอปฯ ขณะที่ Prime เปิดตัวอย่างร้อนแรงในอังกฤษด้วยการซื้อลิขสิทธิ์ในระบบสตรีมจากพรีเมียร์ลีก ซึ่งผลการตอบรับ Prime ในอังกฤษถือได้ว่าเติบโตอย่างน่าสนใจ
ในฐานะผู้ชม ต้องบอกว่าการลงสู่สนาม Live Sports ของ Netflix น่าสนใจไม่น้อย แต่การทำ Livestreaming Sport ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดีลกับเทคโนโลยีที่ต้องเจอกับผู้ชมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน และต้องทำให้การถ่ายทอดสดราบรื่นที่สุด ซึ่ง Netflix เคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้วกับการทำ Live Reunion ของ ซีรีส์ Love is Blind season 4 ปรากฏว่ามีผู้ชมเข้าชมจำนวนมากทำให้ภาพดีเลย์ไปถึง 75 นาที!!!
เล่าให้คุณผู้อ่านฟังมาถึงบรรทัดนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าโลกของ Content ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก อะไรที่เคยได้รับความนิยมเมื่อปีที่แล้ว มาปีนี้ทุกคนกลับลืมกันไปหมดแล้ว แม้คำพูดของบิล เกตส์ ที่ว่า Content is King จะเป็นเรื่องจริง แต่ Content ที่อยู่บนชั้นวางขายได้นานที่สุดน่าจะเป็น King of King ของ Content ได้อย่างแท้จริง
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ