ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ช่วงนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยจะอินกับกิจวัตรในการดูซีรีส์สักเท่าไร มีซีรีส์หลายเรื่องที่ดูตอนต้น ๆ แล้วสนุกดี อยากตามต่อมาก อยากตามลุ้น ตามดูเรื่องราวตอนต่อไป แต่ดันมันไม่มีอารมณ์จะเปิดดูเลย สุดท้ายพอได้ว่างจากช่วงที่ยุ่ง ๆ ก็เลยหาสปอยล์อ่านเอาแทน ชีวิตช่วงนี้ผ่านไปด้วยการเปิดการ์ตูนโคนันทิ้งไว้ให้พอมีเสียง แล้วก็หาทำอะไรอย่างอื่นวนไปมากกว่า ไม่อินกับการนอนเปิดซีรีส์อ่านซับเท่าไรเลย แอบคิดเหมือนกันว่าหรือต้องลองเปลี่ยนแนวดูบ้าง ลองอะไรใหม่ ๆ เผื่อดีขึ้น
แต่ก็มีซีรีส์หลายเรื่องที่อยากเปิดดูตอนแรก ๆ ให้ได้รู้ว่าเรื่องนี้น่าดูแค่ไหน (แล้วก็ดองเอาไว้ก่อน) อย่างล่าสุดก็ได้เจอกับซีรีส์เรื่องใหม่ใน Netflix ที่เพิ่งลงได้ 4 ตอน แต่จริง ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ออนแอร์ที่เกาหลีมาพักใหญ่แล้วล่ะ น่าจะประมาณครึ่งเรื่องได้แล้วมั้ง แต่เพิ่งมีซับไทยถูกลิขสิทธิ์ซื้อมาลง กระแสในโซเชียลมีเดียค่อนข้างดีมากเลย คอซีรีส์ก็เลยบ่นเสียดายว่าทำไมถึงไม่มีเจ้าไหนซื้อมาทำซับไทย
The Real Has Come เป็นซีรีส์แนวครอบครัวเรื่องยาว ความยาว 50 ตอน (เกาหลีเรียกว่าซีรีส์แม่บ้าน เพราะแม่บ้านเปิดทิ้งไว้ช่วงหัวค่ำ) เรื่องราวการแต่งงานหลอก ๆ ของติวเตอร์สาวที่ดันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองท้องหลังจากเลิกกับแฟนเก่าที่นอกใจ กับแพทย์หนุ่มนรีเวชศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะการมีบุตรยาก เขากำลังเจอกับปัญหาที่ครอบครัวกำลังจะจับคลุมถุงชน โดยที่เขาไม่เคยคิดอยากจะแต่งงานเลยแม้แต่น้อย แต่การแต่งงานหลอก ๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่เขาต้องเอาตัวรอด และเธอที่ต้องจัดการไม่ให้เด็กในท้องที่เป็นลูกของแฟนเก่ามาขวางหน้าที่การงานของเธอกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงในไม่ช้า ถ้าการแต่งงานปลอม ๆ ดันทำให้ทั้งคู่มีความรู้สึกต่อกันจริง ๆ
เธอเป็นคนทำงานเก่งนะ อย่าผูกตัวเองไว้กับแหวน ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเถอะ
ต้องยอมรับว่าทัศนคติเรื่องการแต่งงานของหนุ่มสาวสมัยนี้มันเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากจริง ๆ หลายคนเลยแหละที่รู้สึกว่าความรักมันจำเป็นที่จะต้องมีปลายทางเป็นการแต่งงาน การมีลูก การสร้างครอบครัว โดยเฉพาะกับผู้หญิงในสังคมยุคใหม่หลาย ๆ สังคม ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีอิสระและมีชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากมี มีสิทธิเสรีภาพเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องถูกโยงใยให้อยู่ภายใต้อาณัติใด ๆ ของผู้ชายอีกต่อไปแล้ว หลาย ๆ สังคมที่เห็นคุณค่าของผู้หญิงมาก ๆ เลิกถามกันไปนานแล้วว่าทำไมผู้หญิงถึงไม่แต่งงาน ไม่มีลูก แต่เขาพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถทำได้ในฐานสมาชิกของสังคม ว่าเธอมีความสามารถและเติบโตได้ขนาดไหน
เกาหลีใต้เองเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มองจากมุมคนนอกเขาดูเจริญมากในทุก ๆ ด้าน แต่ภายในเขาก็มีปัญหาที่ต้องจัดการแบบที่ทุกประเทศมี คนในสังคมต่างก็ยังรู้ดีว่ายังมีความคิดความเชื่อแบบเก่า ๆ ที่ยังทรงอิทธิพลอยู่มากและมันค่อนข้างเป็นปัญหา ถึงมันจะเปลี่ยนไปเยอะแต่มันก็ยังมีจุดขัดแย้งอยู่เสมอ โดยเฉพาะความคิดความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่ ก็ต้องเข้าใจแหละว่ามันหยั่งรากลึกมานานเกินไป และกลุ่มคนที่เคยได้ประโยชน์มากกว่ากับความคิดความเชื่อแบบนี้ก็ไม่ได้อยากจะให้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปสักเท่าไรหรอก มันดูเหมือนว่าเขาต้องเสียผลประโยชน์บางอย่างไป มีคนส่วนหนึ่งที่มีความเชื่อในแบบที่ยังไงผู้หญิงก็อยู่ระดับเดียวกับผู้ชายไม่ได้ มันเป็นเรื่องของอำนาจและการยอมรับ
สิ่งที่ค่อนข้างทึ่งกับบทละครของซีรีส์เรื่องนี้ คือคำพูดของพระเอกที่พูดกับแฟนที่คบกันแบบแอบ ๆ ตัวผู้หญิงเป็นคนสาธารณะ ที่บ้านก็ฐานะดีมีหน้ามีตา ส่วนพระเอกก็เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตาและมีอิทธิพลจนสังคมให้ความนับถืออยู่พอตัว ตัวผู้หญิงเริ่มอยากคบหาแบบเปิดเผย อยากจะอวดว่าตัวเองมีแฟนและกำลังจะแต่งงาน เพื่อให้ดูว่าชีวิตประสบความสำเร็จดี ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แต่มันติดตรงที่พวกเขาเคยตกลงกันก่อนที่จะคบหากันแล้วว่าตัวผู้ชายไม่อยากแต่งงานและไม่ต้องการจะแต่งงาน พวกเขาสามารถรักและคบกันแบบคู่รักอื่น ๆ ทั่วไป แต่ต้องไม่ไปถึงจุดที่สวมแหวนและเข้าพิธีแต่งงาน
ค่อนข้างชอบนะ ที่พระเอกปฏิเสธการแต่งงานโดยการอ้างเหตุผลไปที่ผู้หญิงมากกว่าที่จะอ้างถึงเหตุผลของตัวเองที่ไม่อยากแต่งงาน (ถึงแม้ว่ายังไงมันก็เป็นการปฏิเสธอย่างไรเยื่อใยอยู่ดีก็เถอะ) พระเอกคงจะมีปมอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่อินกับการแต่งงาน แต่เหมือนว่าเขาเองจะมองว่าผู้หญิงเองก็สามารถมีชีวิตเป็นของตัวเองได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานเช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีรูปเป็นทรัพย์และยังมีหน้าที่การงานดี ๆ ทำ ยังเติบโตและไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก พื้นหลังครอบครัวก็ดีมาก ๆ เป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าไปผูกพันกับผู้ชายก็ได้ด้วยซ้ำ เพราะสามารถมีอิสระในแบบของตัวเองอย่างเต็มที่ ฉะนั้น อย่าผูกตัวเองไว้กับแหวนวงเดียว ควรใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง
ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย เมื่อคิดสร้างครอบครัว แต่งงาน และมีลูก ก็จะแทบไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอีกต่อไปแล้ว มันคือการเสียสละชีวิตที่เคยอิสระของตัวเองมาทำหน้าที่พ่อและแม่ รวมถึงหน้าที่ของคู่ชีวิต มันมีความดาร์กในแบบฉบับที่คนไม่เคยเจอด้วยตัวเองไม่มีทางได้รู้อยู่มาก และมันไม่ได้สวยหรูไปเสียทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เขาถึงได้บอกไงว่าเวลาที่คนที่แต่งงานพูดเตือนอะไรมา คนที่ยังไม่เคยแต่งก็ควรจะรับฟังและเก็บไปคิด ๆ บ้างก็ดี เขาก็เตือนด้วยความหวังดีจากประสบการณ์ของเขา แน่นอนว่าเราอาจจะโชคดีไม่เจอในแบบที่เขาเจอ แต่จะได้รู้ไงว่าเรื่องแบบนั้นมันก็มี
พอเห็นพระเอกปฏิเสธที่จะแต่งงาน ก็ทำให้นึกถึงเรื่องไม่กี่วันก่อน มันอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้มั้ง ตามประสาของคนโสดที่ใช้ชีวิตลั้นลา เราก็จะมีเรื่องเล่าเต๊าะผู้ชายบ้าง เป็นโมเมนต์ดี ๆ ของการได้แอบชอบใครสักคน มันก็เป็นเรื่องที่สร้างสีสันชีวิตของสาวโสดที่ปกติก็ทำแต่งาน พี่คนหนึ่งที่ทุกวันนี้สวมบทบาทของการเป็นแม่ เป็นเมีย และทำงานนอกบ้านด้วย เอ่ยปากเตือนตรง ๆ ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ว่า “ถ้าไม่พร้อม อย่ามีแฟน และยิ่งกว่านั้น คิดให้ดีถ้าจะมีลูก ถ้ามีเหตุผลแม้เพียงข้อเดียวว่าไม่ควรมี ก็อย่ามี” ส่วนตัวไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนั้น แต่ก็เห็นด้วยกับพี่เขานั่นแหละ ทุกอย่างเลย เพราะทุกความสัมพันธ์เราต้องคิดถึงใจคนอื่นด้วยเสมอ ถ้าไม่พร้อมที่จะนึกถึงคนอื่น อย่ามี
เป็นคนนอกใจเองแท้ ๆ แต่โทษคนอื่นเนี่ยนะ
เจอนางเอกด่าแฟนเก่าด้วยคำนี้ บอกตรง ๆ ว่ามันทำให้นึกถึงพวก quote คม ๆ จากเพจที่ชอบสรรหาข้อความเฉียบ ๆ คม ๆ แบบบาดลึกไปยันกางเกงในมาเรียกยอดไลก์ (และบางทีก็เรียกรถทัวร์) ข้อความมันจะประมาณว่า “ถ้าของในบ้านมันดี ใครจะอยากออกไปกินของนอกบ้าน ฝากไว้ให้คิด” หรือ “ถ้าคนที่บ้านหมั่นเตรียมอาหารมื้อพิเศษไว้ให้ คงไม่มีใครหิวโซจนต้องไปหากินนอกบ้าน ฝากไว้ให้คิด” การใช้คำมันอาจจะไม่เป๊ะตามนี้หรอก แต่ความหมายเดียวกัน ซึ่งการพูดถึงอาหารและการกินข้าวในบริบทนี้ เชื่อว่าคนอ่านทุกคนคงเข้าใจได้ว่ามันหมายความว่ายังไง
แล้วคือเพจลักษณะนี้จะขยันฝากความคิดแบบนี้ไว้ให้คิดบ่อยมาก ถ้าให้พยายามทำความเข้าใจตามตัวหนังสือล่ะก็ คือมันอาจจะเป็นมุมมองของฝ่ายที่นอกกายนอกใจคนที่บ้านไปหาของอร่อยกินนอกบ้านแหละ พยายามจะอธิบายให้มันเป็นเหตุเป็นผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วการนอกใจคนที่อยู๋ในความสัมพันธ์มันก็ไม่ใช่เรื่องถูกไง ตรงนี้แหละที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเพจพวกนี้ถึงได้พยายามทำให้เรื่องของการนอกใจมันดูเป็นเรื่องชอบธรรม พยายามลดความเลวร้ายของการกระทำผิดลง ด้วยการโบ้ยให้มันเป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แค่เพราะพวกเธอบกพร่องไปบ้าง มันดันกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อีกฝ่ายคิดเองเออเองว่าการนอกใจเป็นเรื่องที่ทำได้
มันก็อาจจะจริงตามนั้นแหละที่ถ้าพวกเธอบกพร่องแล้วจะทำให้อีกฝ่ายต้องไปหาเอาจากอื่น แต่ตรรกะมันไม่ได้ไง คือเป็นการเป็นคนรักกันอะ เรื่องแบบนี้มันก็ควรจะจับเข่าคุยเพื่อหาทางแก้ปัญหากันได้ไง ไม่จำเป็นต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำเรื่องลักกินขโมยกินแบบนั้นก็ได้ พูดกันให้รู้เรื่องว่าจะเอายังไง จะหาจุดไหนที่ลงตัวที่สุดในความสัมพันธ์ คุยให้เคลียร์ว่าจะจบดีไหม ถ้าสุดท้ายต่างฝ่ายต่างไม่สามารถสนองความต้องการของกันและกันได้ มันก็ยังดีกว่าการแอบทำอะไรลับหลังอีกฝ่าย การใช้ชีวิตแบบคนโง่ การรู้ทีหลัง หรือรู้แล้วแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ มันเจ็บปวดนะ
แต่สำหรับสิ่งที่นางเอกเรื่องนี้โดน คือมันไม่ใช่เพราะเธอบกพร่องอะไรนี่สิ เท่าที่เห็น เธอก็เป็นแฟนที่ทำหน้าที่แฟนได้ดีคนหนึ่งเลย ถึงจะดูมุ่งมั่นในหน้าที่การงานอยู่พอตัว แต่เธอก็ไม่ได้บ้างานถึงขั้นปล่อยปละละเลยแฟนตัวเองขนาดนั้น เขาส่งข้อความ (ผิดแชต แล้วลบทิ้งใน 1 วินาที) มานัดเจอที่โรงแรม เธอก็ยังสังเกตเห็น พอเลิกงานเธอก็ไปหาเขาตรงเวลา ที่ผ่านมาก็มีความสุขในความสัมพันธ์กันดี เรื่องบนเตียงก็มีให้สม่ำเสมอทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอมอบความรักของเธอให้แฟนหนุ่มอย่างจริงจังและจริงใจ แต่แล้วสุดท้ายเธอก็โดนนอกใจ เขาตั้งใจขอผู้หญิงอื่นแต่งงานในห้องที่ทั้งคู่เคยมีความสุขด้วยกัน สาเหตุคืออีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ ไม่รู้จักพอ และเธอยังไม่พร้อมจะแต่งงาน (ในตอนนู้น)
แทนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองทำผิด แฟนเก่านางเอกกลับโทษว่ามันเป็นความผิดของนางเอกที่ยังไม่พร้อมจะแต่งงานในตอนนั้น การที่เธอขอเวลาดูใจเขาก่อนว่าเขาจะเป็นผู้ชายเจ้าชู้ที่นอกใจแฟนหรือไม่ กลายเป็นเรื่องที่หยามศักดิ์ศรีเขาซะงั้น คนที่เป็นฝ่ายนอกใจกลับยืนด่าว่าอีกฝ่ายทำผิด เรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ขนาดว่าเวลานี้เขาไปรักผู้หญิงคนอื่นมากกว่า แต่ก็ไม่ยอมบอกเลิกให้จบ ๆ ไป ตั้งใจจะคบซ้อนมีโลกสองใบไปเรื่อย ๆ เพราะผู้หญิงสองคนมอบความสุขที่เขาต้องการได้ คือเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวสุด ๆ แล้วที่แย่ยิ่งกว่า คือผู้ชายคนนี้ตั้งใจที่จะไม่รับผิดชอบอะไรเลย ต่อให้แฟนเกิดพลาดท้องขึ้นมา เขาก็ตั้งใจจะให้แฟนไปเอาเด็กออกอยู่ดี เป็นผู้ชายที่เลวบริสุทธิ์จริง ๆ
ทำไมไม่ร้องล่ะ เรื่องไหนควรร้องก็ร้องสิ อยากร้องก็ร้องไป ความขมขื่นจะได้ไม่ฝังลึกในใจ
ใครที่คิดว่าเรื่องที่นางเอกโดนแฟนนอกใจเป็นเรื่องที่สุดจัดแล้วในวันนั้น บอกเลยว่าคุณคิดผิด! เพราะวันนั้นทั้งวันยังมีเรื่องบ้าบอคอแตกเกิดขึ้นกับเธออย่างไม่หยุดหย่อน จะบอกว่าเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้ (แต่วันถัดจากนั้นก็ยังเลวร้ายได้มากกว่านี้อีก 555) ถ้ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ละคร ก็ต้องบอกว่าชีวิตนางเอกนี่โคตรน่าเห็นใจ คนบ้าอะไรจะเจอเรื่องซ้อนเรื่องซ้อนเรื่องได้หนักหนาสาหัสขนาดนั้น
ก่อนจะเลิกงานมาเจอแฟน เธอก็มีเรื่องขัดแย้งกับคนจอมกร่างในที่ทำงานมา หลังรู้เรื่องโดนนอกใจ เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เลยเอาปากกาเมจิกสีแดงไปเขียนประจานความเลวของอดีตแฟนบนฝากระโปรงรถของใครก็ไม่รู้ เพราะเป็นรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน เธอโกรธมากจนไม่ได้ดูป้ายทะเบียน นั่งแท็กซี่กลับบ้าน น้องชายก็เอารถของเธอไปใช้โดยไม่บอก เรื่องจบตรงที่น้องชายเธอเอารถเธอมาจูบท้ายแท็กซี่ที่เธอนั่งมาลงที่หน้าบ้าน เสื้อตัวเก่งราคาแพงที่ฝากน้าชายซัก เขาก็ทำมันพังจนหมดสภาพ เข้าห้องมาก็เจอหลานสาวแอบใช้โน้ตบุ๊กโดยไม่บอก แต่สิ่งที่เธอทำก็คือ พยายามจัดการทุกอย่างอย่างใจเย็น กลืนความทุกข์ของตัวเองลงคอ ไม่โวยวายอารมณ์ร้ายใส่ใคร ไม่แม้แต่จะร้องไห้
เธอตั้งใจที่จะไม่เสียน้ำตาให้ผู้ชายชั่ว ๆ พรรค์นั้น เพราะมันเท่ากับเธอแพ้ แต่น้ำตาหนึ่งหยดที่ไหลออกมาในตอนนั้นมันก็คือหยดน้ำตาของความเจ็บปวดทั้งหมด ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้ง (รู้สึก) โง่ แต่เธอควบคุมอารมณ์ได้ดีมากที่จะไม่วีนเหวี่ยงใส่คนที่บ้าน ทั้งที่คนที่บ้านก็สร้างเรื่องให้เธอปวดหัวไม่น้อยเหมือนกัน เธอพยายามเก็บความผิดปกติทุกอย่างไว้ในใจแล้วทำตัวเป็นปกติ มันยากนะสำหรับคนที่เจอเรื่องแบบนั้นมาทั้งวัน แถมตอนดึกแอบหนีออกมาหาอะไรกินเพราะหิว ครอบครัวก็แห่กันออกมาตามหา เธอดันไปทำให้พวกเขาเป็นห่วงและไม่สบายใจ
แต่ก็เพราะเรื่องเลวร้ายที่เจอมาตลอดทั้งวันนี่แหละ ถึงทำให้เธอได้รู้ว่าครอบครัวของเธอรักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน จากที่เข้มแข็งไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องบ้าบอ ก็ต้องมาเสียน้ำตาอีกหยดให้กับครอบครัวดี ๆ ที่พร้อมจะพยุงและดันหลังเธอตอนเธอหกล้ม แม้ว่าครอบครัวของเธอแต่ละคนดูออกจะไม่เอาไหนและชอบสร้างแต่เรื่องชวนปวดหัวก็ตาม แต่พวกเขาก็รักและห่วงใยเธอมากจริง ๆ โดยเฉพาะแม่ที่ดุจนสำนึกผิดไม่ทันเรื่องที่เธอไม่ยอมร้องไห้ออกมาทั้งที่เจ็บปวดขนาดนั้น แถมยังโทษตัวเองที่ไม่เอาไหน บีบให้ลูกสาวเป็นคนแข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็กจนไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมา เธอคงกลัวว่าถ้าเสาหลักอย่างเธออ่อนแอจนร้องไห้ แล้วคนอื่น ๆ จะเป็นยังไงนั่นแหละ เธอถึงไม่ชอบที่จะร้องไห้
ที่พึ่งพิงสุดท้ายที่ทุกคนต้องการใช้เป็นที่มั่นเพื่อตั้งหลักยามตัวเองหมดสภาพ มันก็มีแค่บ้านและครอบครัวเท่านั้นแหละ ยังดีนะที่นางเอกยังมีครอบครัวดี ๆ แบบนี้ ไม่ใช่ครอบครัวที่เอาแต่ปล่อยพลังลบแบบไม่สนหินสนแดดว่าสภาพจิตใจของเธอต้องกดทับอะไรเอาไว้บ้าง สิ่งที่เธอไม่พูดและไม่แสดงออก ก็ยังอยู่ในสายตาของคนในครอบครัวว่าเธอทำตัวผิดปกติไป ถึงสมาชิกแต่ละคนในบ้านจะดูไม่เอาไหน และต้องพึ่งพิงให้เธอเป็นเสาหลักของบ้าน แต่ทุกคนก็พยายามที่จะช่วยเหลือเธอในแบบของตัวเองโดยการพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด นี่แหละมันถึงจะเป็นบ้านที่เยียวยาจิตใจเราได้ การได้นั่งกินข้าวของโปรดกับครอบครัวที่รัก ห่วงใย และเข้าใจเรา มันดีที่สุดแล้ว
บอกตามตรงนะว่าที่เปิดซีรีส์เรื่อง The Real Has Come ขึ้นมาดู เปิดด้วยความรู้สึกที่ไม่คาดหวังอะไรเลย ส่วนตัวไม่ชอบดูอะไรที่มันยาว ๆ เล่นลากนาน 4-5 เดือนก็ยังไม่จบสักทีอย่างซีรีส์แม่บ้านที่ความยาวครึ่งค่อนร้อยตอนแบบนี้ ไม่ถูกจริตตั้งแต่สมัยที่ยังนั่งดูละครไทยตอนเย็นที่ชอบเพิ่มตอนเรื่อย ๆ แล้ว ของเกาหลีหลายเรื่องก็คล้ายกัน แต่กับเรื่องนี้เราได้เห็นกระแสบวกตั้งแต่ที่ออนแอร์แรก ๆ แล้วว่าเรตติ้งที่เกาหลีดี คนที่มุด vpn ดูผ่านช่องทางธรรมชาติก็บอกว่าสนุกดี ถึงจะฟังไม่ออกเลยก็ตาม ซึ่งมันก็ค่อนข้างดีจริง ๆ การเล่าเรื่องแตกต่างจากซีรีส์แม่บ้านเรื่องอื่น ปมก็เหมือนซีรีส์ทั่วไป ขอบคุณ Netflix ที่ทำซับไทยให้ได้ดูในที่สุด ถึงจะตามเกาหลีอยู่หลายตอนก็เถอะ💍