อยากจะเป็นกุนซือระดับแนวหน้าของโลกนั้นอยู่กับที่ไม่ได้นะครับ มันต้องพัฒนาและแหวกแนว เพราะโลกของการแข่งขันทุกวันนี้มักจะมีคนขึ้นมาคอยท้าทายคุณอยู่ตลอดเวลา ดังที่ เป๊ป กวาดิโอล่า แสดงให้เห็นในฤดูกาลนี้ จนสามารถพาทีมคว้า เทรเปิลแชมป์ กวาด 3 ถ้วยได้สำเร็จแบบไร้เทียมทาน
ถ้าคุณเป็นแฟนบอลช่างสังเกต คงจะพอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนกระทั่งนำมาซึ่งบทสรุปสุดท้าย เราลองไปไล่เรียงกันดูครับว่า สิ่งที่กุนซือสมองใสใส่เข้าไปมีอะไรบ้าง
1. ระบบใหม่ 3-2-4-1
ธรรมดาโลกไม่จำ อย่างที่ทราบกันดีว่าผู้จัดการทีมอัจฉริยะผู้นี้เคยริเริ่มบทบาทใหม่ของนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็กให้ขึ้นไปเป็นกองกลางตัวใน จนกลายเป็นคำเรียกขาน “Invert Back” ในโลกฟุตบอล แต่ไป ๆ มา ๆ ในฤดูกาล เขากลับกลายเป็นคนที่ตัดผู้เล่นแบ็กออกไปจากระบบทีมซิตี้เสียสิ้น เริ่มจากขาย โอเล็ค ซินเชนโก้ ไปให้อาร์เซนอลเมื่อต้นฤดูกาล ตามด้วยการปล่อยยืม เชา คานเซโล่ ให้กับ บาเยิร์น มิวนิก การลดบทบาทของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ลงไป
ลงท้ายผู้เล่นกองหลังของเป๊ป เลยกลายเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟล้วน ๆ อย่าง นาธาน อาเค่, รูเบน ดิอ๊าซ และมานูเอล อคานจี ยืนกัน 3 คน แล้วดัน จอห์น สโตนส์ ขึ้นไปเป็นกลางรับหน้าตาเฉย กลายเป็นระบบใหม่คือ 3-2-4-1
การใช้วิธีนี้เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ยอดโค้ชสามารถดันผู้เล่นกองกลางอย่าง อิลคาย กุนโดกัน สอดขึ้นไปปั่นป่วนเกมรับของคู่ต่อสู้ได้อีกคน เคียงข้างกับ เควิน เดอ บรอยน์ ยังไม่รวมตัวรุกทางริมเส้นขวา-ซ้าย อย่าง แบร์นาโด้ ซิลวา กับ แจ็ค กรีลิช
ทั้งหมดทั้งมวลที่ “เป๊ป” ครีเอตขึ้นมานั้น ก็เพื่อการใช้ผู้เล่นทุกคนให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ในยามที่ทีมทะยานเปิดเกมรุกเข้าใส่คู่ต่อสู้นั่นเอง
2. การกลับมาของผู้เล่นตำแหน่งศูนย์หน้า
ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าสมัยก่อนนั้น กุนซือชาวสเปนผู้นี้ชมทดลองใช้ “ฟอลส์ไนน์” หรือศูนย์หน้าเทียมยิ่งนัก แต่มาในวันนี้เมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อเขาตัดสินใจซื้อตัวเพชฌฆาตขนานแท้อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เข้าสู่ทีมเมื่อต้นฤดูกาล เป๊ป ก็จัดการปรับให้ทีมและนักเตะคนอื่น ๆ เล่นเพื่อเกื้อหนุนไอ้เด็กนรกจากนอร์เวย์ถลุงประตูให้ได้อย่างเต็มที่
ทั้งลูกเปิดจากด้านข้าง การทำชิ่งเจาะทะลุตรงกลาง เปิดยาวจากด้านหลัง หรือแม้กระทั่งวิธีการโบราณอย่างการโยนบอลยาวให้ ฮาลันด์ โหม่งตั้งให้เพื่อน ๆ ทะลวงประตู ทุกสิ่งทุกอย่างพิสูจน์ให้เห็นว่าตำราไม่ได้มีเล่มเดียว หรือไม่เคยสูตรอะไรตายตัวทั้งนั้นสำหรับวงการฟุตบอล
3. สร้างทีมขนาดใหญ่
การเสริมทัพของ แมนฯ ซิตี้ ในยุคนี้ ทำให้ผมนึกถึง ลิเวอร์พูล ในยุคก่อน ซึ่งเวลาซื้อนักเตะใหม่เข้าสู่สโมสร จะมีเวลาให้บ่มเพาะก่อนดันขึ้นไปเล่นตัวจริงสักหนึ่งฤดูกาล รวมทั้งการแบ็กอัปผู้เล่นในตำแหน่งต่าง ๆ ล่วงหน้า ก่อนที่คุณภาพของจุดนั้น ๆ มันจะด้อยลงไป
“เป๊ป” แสดงให้เห็นในการดึง นาธาน อาเค่ เข้ามาสแตนด์บาย การดัน ฟิล โฟเด้น ขึ้นมาเพื่อสลับสับเปลี่ยนก่อนวันที่ ริยาร์ด มาห์เรซ จะโรยและย้ายทีม การซื้อ มานูเอล อคานจี เพื่อมาเป็นกองหนุน แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นโบนัสแทร็ก ช่วยทีมได้อย่างมากมาย จนกลายเป็นตัวจริง
หลังความสำเร็จแบบประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็เชื่อแน่ว่า “เป๊ป” คงยังไม่หยุดนิ่ง และต้องกลิ้งต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยขุมกำลังที่ยังยอดเยี่ยม รวมทั้งการเสริมผู้เล่นในช่วงซัมเมอร์นี้ เอาแค่ชื่อแรกเอ่ยมาอย่าง มัตเตโอ โควาซิช ก็เข้าท่าไม่น้อยแล้ว
หวั่นใจว่าตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ปีซ้อนซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้ จะกลายเป็นโจทย์กระตุ้นต่อมให้ยอดผู้จัดการทีมผู้นี้ออกอิทธิฤทธิ์อีกในฤดูกาลหน้าเป็นแน่แท้!!.